ธุรกิจ
กฟผ. เปิดตัวธุรกิจใหม่ด้านยานยนต์ไฟฟ้า
กฟผ. ขึ้นแท่นผู้ให้บริการธุรกิจด้านยานยนต์ไฟฟ้า เปิดตัวธุรกิจ “EGAT EV Business Solutions” 4 ผลิตภัณฑ์ และบริการหลักด้าน EV สร้างสังคมแห่งการเดินทางยุคใหม่ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดดเด่นด้านความรวดเร็ว ปลอดภัย มั่นใจตลอดการเดินทาง พร้อมจับมือ 6 ค่ายรถยนต์ชั้นนำระดับโลก ร่วมสร้างการเปลี่ยนผ่านให้แก่ภาคพลังงาน และคมนาคมขนส่ง ยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าของประเทศไทย ร่วมสร้างคุณภาพอากาศที่ดีให้คนไทย
กุลิศ สมบัติศิริ ปลัดกระทรวงพลังงาน เป็นองค์ปาฐกถาพิเศษในงานเปิดตัวธุรกิจ “EGAT EV Business Solutions” ภายใต้ชื่องาน The Next Future Journey EGAT EV Business Solutions และเป็นประธานในพิธีลงนามความร่วมมือ EV Charging Station & Platform co creation for Electric Vehicles Project ระหว่าง กฟผ. และพันธมิตรจาก 6 บริษัทรถยนต์ชั้นนำ ได้แก่ Audi (เอาดี), BMW (บีเอมดับเบิลยู), Mercedes-Benz (เมร์เซเดส-เบนซ์), MG (เอมจี), Nissan (นิสสัน) และ Porsche (โพร์เช) เพื่อให้ความร่วมมือกันในด้านสถานีอัดประจุไฟฟ้า Application เชื่อมโยงข้อมูล และการส่งเสริมการขาย เพื่อสนับสนุนธุรกิจซึ่งกันและกัน พร้อมทั้งมีการแสดงวิสัยทัศน์จากทั้ง 6 บริษัท เกี่ยวกับการเติบโตของยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย รวมถึงทิศทางความร่วมมือในการสนับสนุน และพัฒนาเพื่อรองรับเทคโนโลยี และธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้าที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคต
กุลิศ สมบัติศิริ ปลัดกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า รถยนต์ไฟฟ้า คือ ทเรนด์และเทคโนโลยีที่จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงโลก โดยพบว่า ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลก ตั้งแต่ปี 2553 - 2563 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อันเนื่องมาจากแรงผลักดันที่สำคัญในการเปลี่ยนผ่านโลก จากเดิมที่เต็มไปด้วยรถยนต์สันดาปภายใน กลายเป็นโลกแห่งยานยนต์ไฟฟ้าที่ประกอบไปด้วย 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่ 1. เทคโนโลยี ทั้งเทคโนโลยีแบทเตอรีที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ทำให้รถยนต์วิ่งได้ไกลขึ้น พร้อมทั้งมีต้นทุนที่ลดลงด้วย และเทคโนโลยี AI Machine Learning ที่ทำให้ยานยนต์ก้าวเข้าสู่ยานยนต์สมัยใหม่ที่เป็นมากกว่าแค่พาหนะ 2. ปัญหามลพิษทางอากาศ จากการเผาไหม้เชื้อเพลิงของรถยนต์สันดาปภายใน ซึ่งจะเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดมลพิษต่างๆ ทั้งแกสเรือนกระจก ฝุ่นละออง PM2.5 อันส่งผลให้เกิดภาวะโลกร้อน และเกิดภัยพิบัติที่รุนแรงมากขึ้น และ 3. นโยบายของนานาประเทศ ที่เห็นตรงกันถึงความสำคัญ และความจำเป็นของการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า
สำหรับประเทศไทย ในฐานะที่เป็นผู้นำในอุตสาหกรรมยานยนต์ในภูมิภาคอาเซียน ได้เตรียมพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว โดยมุ่งยกระดับให้อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า เป็น 1 ใน 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย และเป็นอนาคตของประเทศ โดยถือเป็นวาระสำคัญแห่งชาติ เพื่อรักษาและต่อยอดความเป็นผู้นำของฐานการผลิตยานยนต์เพื่อการส่งออกในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งท้ายที่สุดแล้วการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าที่มากขึ้นจะช่วยส่งเสริม และพัฒนานวัตกรรมต่างๆ รวมถึงกระตุ้นเศรษฐกิจ ด้วยการสร้าง และพัฒนาตลาดแรงงานใหม่ๆ เพื่อเสริมศักยภาพในการแข่งขันของประเทศ โดยการเปิดตัวธุรกิจใหม่ของ กฟผ. ในวันนี้นับเป็นการรวบรวมความเชี่ยวชาญด้านนวัตกรรมพลังงานไฟฟ้าที่ กฟผ. ได้ศึกษา วิจัย และพัฒนา เพื่อส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในระบบขนส่งสาธารณะ เชื่อมต่อการเดินทางล้อ ราง เรือ มาอย่างต่อเนื่อง เมื่อผนวกกำลังกับพันธมิตรค่ายรถยนต์จะทำให้เป็นแรงขับเคลื่อนที่สำคัญของประเทศไทย ให้พร้อมรับการเปลี่ยนแปลง และปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนผ่านไปยังสังคมแห่งยานยนต์ไฟฟ้าในอนาคตอันใกล้นี้ด้วย
บุญญนิตย์ วงศ์รักมิตร ผู้ว่าการ กฟผ. กล่าวว่า กฟผ. พร้อมสร้างการเปลี่ยนผ่านให้แก่ภาคพลังงาน และคมนาคมขนส่ง ในฐานะของผู้ให้บริการด้านยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งโครงสร้างพื้นฐานด้านไฟฟ้าที่สำคัญ นับเป็นโอกาสอันดีที่ กฟผ. จะได้ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิต และสร้างความสุขให้แก่คนไทยมากยิ่งขึ้น ด้วยธุรกิจใหม่ของ กฟผ. “EGAT EV Business Solutions”
สำหรับธุรกิจนี้ กฟผ. ได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ และบริการด้าน EV เพื่อตอบสนองความต้องการ และสร้างประสบการณ์ที่ดีในการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าให้ผู้ใช้มีความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น โดย กฟผ. จะเป็นผู้ช่วย และเป็นผู้เชื่อมโยงธุรกิจต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมนี้ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตการเดินทางในอนาคต และร่วมสร้างสรรค์สิ่งแวดล้อมให้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม
ทั้งนี้ 4 ผลิตภัณฑ์ และบริการ ภายใต้ธุรกิจ “EGAT EV Business Solutions” ประกอบด้วย
สถานีอัดประจุไฟฟ้า “EleX by EGAT” ที่ชาร์จไฟได้รวดเร็ว ปลอดภัย มั่นใจ เพื่อรองรับทุกการเดินทางของผู้ใช้ยานยนต์ทั่วประเทศ โดยปัจจุบัน กฟผ. ได้ติดตั้งไปแล้ว 13 สถานี และตั้งเป้าหมายที่จะติดตั้งเพิ่มเป็น 48 สถานี ภายในสิ้นปี 2564 โดยเน้นขยายสถานีไปตามเส้นทางการเดินทางหลักทั่วประเทศ เพื่อเลือกพื้นที่ที่สามารถตอบโจทย์การใช้งาน และตรงกับตามต้องการของผู้ใช้ให้ได้มากที่สุด
Mobile Application Platform “EleXA” ที่เสมือนเป็นผู้ช่วย เพิ่มความสะดวกสบายในทุกขั้นตอนให้แก่ผู้ใช้รถ EV ตั้งแต่การค้นหา จอง ชาร์จ และจ่ายเงิน ซึ่งจะทำให้กลายเป็นเรื่องที่ง่าย และรวดเร็ว สำหรับผู้ใช้งานทุกคน โดย กฟผ. มุ่งมั่นพัฒนาแอพพลิเคชันนี้ให้สามารถเชื่อมโยง ทั้งลูกค้า ร้านค้า ผู้ประกอบการ และผู้ให้บริการต่างๆ ที่อยู่ใกล้สถานีของ กฟผ. เพื่อให้เป็นประโยชน์แก่กลุ่มเครือข่ายทั้งหมดนี้ และยกระดับคุณภาพชีวิตของทั้งเครือข่ายไปพร้อมๆ กันกับการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า
ตู้อัดประจุไฟฟ้า “EGAT Wallbox และ EGAT DC Quick Charger” เพื่อเป็นอีกหนึ่งทางเลือกแก่ผู้ใช้งานรถ EV โดย EGAT Wallbox เป็น Home Charger ที่เล็กกะทัดรัด สวยงาม โดย กฟผ. ได้รับสิทธิ์ในการจำหน่ายเพียงรายเดียวในประเทศไทย ในการเป็นผู้ดูแลให้บริการติดตั้ง และบำรุงรักษาให้แก่ลูกค้าโดยตรง และในปัจจุบัน กฟผ. ได้พัฒนาตู้อัดประจุไฟฟ้า EGAT DC Quick Charger ขนาด 120 kW ซึ่งสามารถช่วยลดต้นทุนให้กับผู้ประกอบการที่ต้องการลงทุนสถานีอัดประจุไฟฟ้าได้ โดย กฟผ. จะนำผลิตภัณฑ์นี้ออกใช้งานในเชิงพาณิชย์ภายในไตรมาส 3 ปีนี้
ระบบบริหารจัดการเครือข่ายสถานีอัดประจุไฟฟ้า “BackEN หรือ Backend EGAT Network Operator Platform” ที่จะเชื่อมโยงระบบนิเวศของยานยนต์ไฟฟ้าทั้งหมด ทั้งระบบผลิต และส่งไฟฟ้า สถานีอัดประจุไฟฟ้า ยานยนต์ไฟฟ้า และผู้ใช้ยานยนต์ไฟฟ้า เข้าด้วยกัน ซึ่งจะช่วยให้การบริหารจัดการในภาพรวมเกิดประสิทธิภาพสูงสุด มีเสถียรภาพ และมั่นคง ด้วยระบบการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลที่ได้มาตรฐาน และระบบวิเคราะห์ทางเทคนิคที่พร้อมให้บริการตลอด 24 ชม.
ผลิตภัณฑ์ และบริการทั้งหมดนี้ พร้อมให้บริการประชาชนทุกคนในปี 2564 นี้อย่างแน่นอน โดย กฟผ. พร้อมเปิดรับพันธมิตรจากทุกภาคส่วนที่ต้องการพัฒนาธุรกิจ เพื่อร่วมกันสร้างการเติบโตให้แก่อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า และขับเคลื่อนประเทศไทยสู่สังคมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และมุ่งสู่สังคมคาร์บอนต่ำ โดยขอเชิญชวนผู้ที่สนใจเข้าชมข้อมูลธุรกิจเพิ่มเติม ได้ที่ www.elexaev.com
กุศล สมบัติศิริ ปลัดกระทรวงพลังงาน
บุญญนิตย์ วงศ์รักมิตร ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย
เรื่องโดย : นุสรา เงินเจริญ
ภาพโดย : สายชล อรรถาเวช
คอลัมน์ Online : ธุรกิจ (บก. ออนไลน์)
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/online/360890