ธุรกิจ
Shell เร่งขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การปล่อยแกสคาร์บอนให้เป็น 0
เบน ฟาน เบอร์เดน ประธานกรรมการบริหาร บริษัท รอยัลดัทช์เชลล์ กล่าวว่า ยุทธศาสตร์หลักของเรา คือ การเดินหน้าในการลดปริมาณการปล่อยแกสคาร์บอน และส่งมอบคุณค่าให้แก่ผู้ถือหุ้น และลูกค้าของเรา ตลอดจนสังคมโดยรวมเราต้องมอบผลิตภัณฑ์ และบริการซึ่งเป็นที่ต้องการ และมีความจำเป็นให้แก่ลูกค้า โดยเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด ในขณะเดียวกัน เราจะใช้ความแข็งแกร่งขององค์กรที่มีรากฐานมั่นคงมาอย่างยาวนานในการต่อยอดสัดส่วนธุรกิจของบริษัทฯ ให้มีศักยภาพการแข่งขันสูง ในขณะที่เปลี่ยนผ่านไปสู่การเป็นธุรกิจที่ชดเชยการปล่อยแกสคาร์บอนให้เป็นศูนย์พร้อมกับการดูแลเคียงข้างสังคม ไม่ว่าลูกค้าของเราจะเป็นภาคการขับขี่ และคมนาคม ภาคครัวเรือน หรือภาคธุรกิจ เราจะใช้ศักยภาพระดับโลกควบคู่กับการเป็นแบรนด์ที่ได้รับความไว้วางใจเพื่อเติบโตในตลาดที่มีความต้องการผลิตภัณฑ์ และบริการด้านพลังงานสะอาดในระดับสูงที่สุด อีกทั้งยังจะดำเนินการบริหารความเสี่ยงเกี่ยวกับกระแสเงินสด ควบคู่กับการสร้างผลตอบแทนที่สูงขึ้นด้วย
นับจากวันนี้เป็นต้นไป Shell จะผสานกลยุทธ์ สัดส่วนธุรกิจ ความมุ่งมั่นตั้งใจด้านสังคม และสิ่งแวดล้อมภายใต้เป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ Powering Progress อันประกอบด้วย การสร้างคุณค่าให้แก่ผู้ถือหุ้น การชดเชยการปล่อยแกสคาร์บอนให้เป็น 0 การเสริมสร้างคุณภาพชีวิตที่ดี และการเคารพต่อธรรมชาติ ทั้งนี้การปรับกลยุทธ์องค์กรเพื่อให้ Shell สามารถบรรลุเป้าหมายดังกล่าวจะดำเนินการใน 3 กลุ่มธุรกิจหลัก คือ ธุรกิจเติบโต ธุรกิจเปลี่ยนผ่าน และธุรกิจต้นน้ำ ความยืดหยุ่นทางการเงิน และการเติบโตอย่างมีกำไรผ่านการจัดสรรเงินทุนอย่างเป็นระบบ Shell เน้นย้ำความสำคัญของกระแสเงินสดเพื่อให้สามารถส่งมอบคุณค่าให้แก่ผู้ถือหุ้นในปัจจุบัน พร้อมทั้งสร้างการเติบโตของคุณค่าสำหรับอนาคต ซึ่งครอบคลุมด้านต่างๆ ดังนี้- ดำเนินนโยบายเงินปันผลแบบก้าวหน้า โดยเพิ่มเงินปันผลต่อหุ้นประมาณ 4 %/ปี ภายใต้การอนุมัติของคณะกรรมการบริหารบริษัทฯ
- รักษางบประมาณการใช้จ่ายรายปีสำหรับอนาคตอันใกล้ซึ่งมีมูลค่า 19,000-22,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
- ลดหนี้สุทธิให้เหลือ 65,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
- ในการลดหนี้สุทธิให้เหลือ 65,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ มีเป้าหมาย คือ การให้ปันผลแก่ผู้ถือหุ้นทั้งหมดด้วยกระแสเงินสด 20-30 % จากการดำเนินกิจการ ทั้งนี้การให้ปันผลที่มากขึ้นให้แก่ผู้ถือหุ้นเป็นผลสัมฤทธิ์มาจากเงินปันผลแบบก้าวหน้าและการซื้อหุ้นคืนของ Shell มีการเติบโตของงบประมาณการใช้จ่ายที่เป็นระบบ และควบคุมได้ สมดุลกับการให้ปันผลเพิ่มเติมแก่ผู้ถือหุ้น พร้อมทั้งเสริมสร้างความแข็งแกร่งยิ่งขึ้นให้กับงบแสดงฐานะการเงินของบริษัทฯ
- Shell จะสานต่อเป้าหมายระยะสั้นในการลดการปล่อยแกสคาร์บอนในระหว่างขับเคลื่อนองค์กรไปสู่เป้าหมายภายในปี พศ. 2593 โดยเชื่อมโยงกับค่าตอบแทนแก่พนักงานมากกว่า 16,500 คน อีกทั้งยังครอบคลุมเป้าหมายใหม่ที่จะลดปริมาณความเข้มข้นสุทธิของคาร์บอนลง 6-8 % ภายในปี พศ. 2566, 20 % ภายในปี พศ. 2573, 45 % ภายในปี พศ. 2578 และ 100 % ภายในปี พศ. 2593 โดยใช้บรรทัดฐานจากปี พศ. 2559
- Shell ยืนยันการคาดการณ์ปริมาณการปล่อยแกสคาร์บอนในระดับสูงสุดเมื่อปี พศ. 2561 โดยอยู่ที่ 1.7 กิกะตัน/ปี
- Shell ยืนยันระดับการผลิตน้ำมันสุทธิสูงสุด คือ เมื่อปี พศ. 2562
- Shell จะแสวงหาการเข้าถึงการดักจับ และกักเก็บแกสคาร์บอนไดออกไซด์เพิ่มขึ้นอีกปีละ 25 ล้านตัน ภายในปี พศ. 2578 โดยเมื่อเร็วๆ นี้ Shell มีส่วนร่วมใน 3 โครงการด้านการดักจับ และกักเก็บแกสคาร์บอนไดออกไซด์ ได้แก่ โครงการ Quest ในประเทศแคนาดา (อยู่ระหว่างดำเนินการ) โครงการ Northern Lights ในประเทศนอร์เวย์ (อนุมัติแล้ว) และโครงการ Porthos ในประเทศเนเธอร์แลนด์ (วางแผนแล้ว) ซึ่งทั้ง 3 โครงการจะสามารถกักเก็บได้รวมกันถึง 4.5 ล้านตัน
- Shell มุ่งมั่นในการส่งมอบโซลูชันส์พลังงานที่มีฐานจากธรรมชาติ สอดคล้องกับหลักปรัชญาว่าด้วยการหลีกเลี่ยง และการลดปริมาณ เพื่อชดเชยการปล่อยแกสคาร์บอนปีละประมาณ 120 ล้านตัน ภายในปี พศ. 2573 ทั้งนี้ จะเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการรับรองคุณภาพระดับสูงสุด
- Shell จะทำงานร่วมกับองค์กรอิสระต่างๆ ตัวอย่างเช่น Science Based Targets Initiative และ Transition Pathway Initiative ตลอดจนหน่วยงานอื่นๆ ในการพัฒนามาตรฐานสำหรับอุตสาหกรรม และดำเนินงานให้สอดคล้องกับมาตรฐานเหล่านั้น
- ตั้งแต่การประชุมผู้ถือหุ้นสามัญประจำปี พศ. 2564 Shell นำเสนอแผนการเปลี่ยนผ่านทางพลังงานให้แก่คณะผู้ถือหุ้นพิจารณาลงคะแนนเสียงเพื่อให้คำแนะนำทิศทางในการดำเนินธุรกิจ โดยเป็นองค์กรแรกในภาคอุตสาหกรรมพลังงานที่ดำเนินการดังกล่าว ในการนี้ บริษัทฯ จะอัพเดทแผนดังกล่าวทุกๆ 3 ปี เพื่อขอความคิดเห็นต่อความคืบหน้าที่เกิดขึ้นในแต่ละปีผ่านการลงคะแนนเสียง
กลุ่มธุรกิจเติบโต การตลาด
ตั้งเป้าเพิ่มกำไรสุทธิให้อยู่ที่ราว 6,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ภายในปี พศ. 2568 (จากเดิมที่ 4,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี พศ. 2563) โดยจะบรรลุเป้าหมายด้วยการเพิ่มศักยภาพในตลาดที่องค์กรเป็นผู้นำอย่างในธุรกิจน้ำมันหล่อลื่น ซึ่งตั้งเป้าเพิ่มจำนวนผู้ใช้เป็น 40 ล้านคน จากสถานีบริการน้ำมันกว่า 55,000 แห่งทั่วโลก (เพิ่มจากเดิมที่ 30 ล้านคน จากสถานีบริการน้ำมันจำนวน 46,000 แห่ง) และสร้างการเติบโตให้แก่เครือข่ายธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ในระดับโลก โดยเพิ่มจุดให้บริการชาร์จไฟฟ้าจำนวน 60,000 จุด เป็น 500,000 จุด ภายในปี พศ. 2568 ในกลุ่มเชื้อเพลิงที่ผลิตคาร์บอนปริมาณต่ำ-สานต่อการเป็นผู้นำด้านการผลิต และจำหน่ายพลังงานชีวภาพ โดยในปี พศ. 2562 Shell ได้จำหน่ายพลังงานชีวภาพมากกว่า 10,000 ล้านลิตร พันธมิตรผู้ร่วมทุนทางธุรกิจของเรา Raízen ซึ่งผลิตพลังงานคาร์บอนต่ำจากอ้อยในบราซิล ได้ประกาศการซื้อ Biosev ซึ่งการขยายธุรกิจในครั้งนี้ เพื่อเพิ่มความสามารถในการผลิตพลังงานทางเลือกไบโอเอทานอลของ Raízen ให้เป็น 50 % หรือที่ 3,750 ล้านลิตร/ปี หรือราวๆ 3 % ของการผลิตทั่วโลก ธุรกิจพลังงานทดแทน และโซลูชันส์ด้านพลังงาน พลังงานไฟฟ้าแบบบูรณาการ-ตั้งเป้าขายพลังงานไฟฟ้า 560 เทราวัตต์ชั่วโมง/ปีภายในปี พศ. 2573 ซึ่งนับเป็น 2 เท่าของปริมาณไฟฟ้าที่ขายได้ในทุกวันนี้ เราคาดหวังที่จะส่งมอบไฟฟ้าให้แก่ลูกค้ารายย่อย และลูกค้าเชิงธุรกิจทั่วโลกมากกว่า 15 ล้านคนทั่วโลก โดยยังตั้งเป้าเป็นผู้นำด้านการส่งมอบพลังงานสะอาดรวมถึงบริการที่เชื่อถือได้ และจะยังคงเดินหน้าสร้างการเติบโตโดยลงทุนร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจที่จะช่วยต่อยอด และเน้นย้ำการเป็นผู้บริหารจัดการด้านพลังงานสะอาด โซลูชันส์ด้านพลังงานที่มีธรรมชาติเป็นพื้นฐาน-คาดการณ์ว่าจะลงทุนราวๆ 100 ล้านดาลลาร์สหรัฐฯ/ปีในโครงการคุณภาพสูงที่น่าเชื่อถือ และสามารถตรวจสอบได้ บนพื้นฐานของการสร้างการเปลี่ยนแปลง และความยั่งยืนให้แก่ธุรกิจ รวมถึงช่วยให้ลูกค้าดำเนินธุรกิจตามเป้าหมายที่จะไม่ปล่อยแกสเรือนกระจกออกสู่สิ่งแวดล้อม แกสไฮโดรเจน-สร้างการเป็นผู้นำของ Shell ในกลุ่มธุรกิจแกสไฮโดรเจน โดยการพัฒนาสถานีชาร์จไฮโดรเจน เพื่อรองรับการคมนาคม และขนส่งของอุตสาหกรรมหนัก โดยตั้งเป้ามีส่วนแบ่งการตลาดธุรกิจพลังงานสะอาดไฮโดรเจนของโลกเป็นตัวเลข 2 หลัก กลุ่มธุรกิจเปลี่ยนผ่าน ธุรกิจแกสธรรมชาติ เสริมความแข็งแกร่งในกลุ่มธุรกิจแกสธรรมชาติเหลว (LNG) ด้วยการเพิ่มวอลูม และขยายตลาด จากการเลือกลงทุนในสินทรัพย์หรือกลุ่มธุรกิจ LNG ที่มีแนวโน้มการเติบโตที่ดี เพื่อส่งมอบพลังงานมากกว่า 7 ล้านตันในแต่ละปี ซึ่งนับเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการผลิต และส่งมอบพลังงานแกสธรรมชาติเหลวภายในกลางทศวรรษนี้ ทั้งยังคงสนับสนุนลูกค้าให้ก้าวสู่การดำเนินธุรกิจที่ไม่ปล่อยมลพิษได้ด้วยการมอบพลังงานที่ให้คาร์บอนที่เป็นกลางอย่าง LNG ธุรกิจเคมีภัณฑ์ เปลี่ยนผ่านการปล่อยมลพิษจากการดำเนินธุรกิจโรงกลั่นน้ำมัน 13 แห่ง สู่การสร้างสนามพลังงานและเคมีภัณฑ์ทรงประสิทธิภาพ 6 แห่ง เพื่อลดการผลิตพลังงานดั้งเดิมลง 55 % ภายในปี พศ. 2573 โดยมุ่งสร้างการเติบโตเชิงปริมาณของกลุ่มธุรกิจเคมีภัณฑ์ให้กับสัดส่วนธุรกิจขององค์กร และเพิ่มกระแสเงินสดจากธุรกิจเคมีภัณฑ์ในวงเงินประมาณ 1,000-2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เปรียบเทียบจากแผนระยะกลางขององค์กร โดยจะผลิตเคมีภัณฑ์จากขยะรีไซเคิล หรือเคมีภัณฑ์หมุนเวียน และภายในปี พศ. 2568 ตั้งเป้าผลิตเคมีภัณฑ์จากขยะพลาสติกให้ได้ 1 ล้านตัน/ปี กลุ่มธุรกิจต้นน้ำ มุ่งเน้นการสร้างคุณค่ามากกว่าในเรื่องของปริมาณ โดยเน้นการดำเนินธุรกิจอย่างเรียบง่าย และมีความยืดหยุ่น พร้อมปรับตัว โดยยังคงแสวงหาแหล่งพลังงานที่จะสร้างกระแสเงินสดได้อย่างต่อเนื่องจนถึงปี พศ. 2573 พร้อมลดการผลิตน้ำมันอย่างค่อยเป็นค่อยไป ทั้งนี้คาดการณ์ในการทยอยลดปริมาณการผลิตลง 1-2 % ในแต่ละปี รวมถึงการลดการลงทุนในธุรกิจดังกล่าว ตลอดจนการลดปริมาณที่เป็นไปตามสภาวการณ์ปกติด้วย