จากเลนส์สายลับ
Mercedes C-Class Estate ทดสอบบนถนนจริง

เป็นภาพรถยนต์ต้นแบบของ Mercedes C-Class Estate (เมร์เซเดส ซี-คลาสส์ เอสเตท) เจนเนอเรชันใหม่ อีกชุดหนึ่งที่มีการบันทึกไว้ได้ภายในเมืองสตุดการ์ด (Stuttgart) ประเทศเยอรมนี สำหรับ C-Class ใหม่จะใช้แพลทฟอร์มชื่อ MRA2 หรือเจนเนอเรชันที่ 2 ของแพลทฟอร์ม Mercedes Rear Wheel Architecture ที่มีพัฒนาการก้าวหน้าขึ้นกว่าแพลทฟอร์มที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน และคุณสมบัติที่สำคัญที่สุดประการหนึ่ง คือ มีน้ำหนักที่เบากว่านั่นเอง
ในส่วนของเครื่องยนต์ C-Class เจนเนอเรชันใหม่ ทั้งตัวถังแบบซาลูนและเอสเตทจะมีเครื่องยนต์ให้เลือกใช้หลากหลาย โดยเฉพาะเครื่องยนต์ 4 สูบที่เป็นที่ยอมรับกันทั่วไป ทั้งในด้านสมรรถนะและประสิทธิภาพ รวมถึงเครื่องยนต์ดีเซลสะอาดความจุ 2.0 ลิตรรหัส OM 654 ที่เปิดตัวใช้กับ Mercedes E-Class ในปี 2016 นอกจากนี้ ยังจะมีทางเลือกของเครื่องยนต์ 6 สูบ ทั้งในแบบเครื่องยนต์เบนซิน และดีเซล อีกด้วย โดยเครื่องยนต์ดีเซล 6 สูบเรียง 3.0 ลิตรที่ใช้อยู่ใน S-Class รุ่นปรับปรุงใหม่จะถูกปรับแต่งให้มีพละกำลัง 286 แรงม้า และ 340 แรงม้า ขณะที่เครื่องยนต์เบนซิน 6 สูบ 3.0 ลิตรแรงม้าขยับขึ้นเป็นมากกว่า 400 แรงม้า อีกทั้งยังมีรุ่น Plug-in hybrid ที่ใช้เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบทำงานกับมอเตอร์ไฟฟ้าซึ่งสามารถใช้พลังงานไฟฟ้าเป็นพลังงานในการขับเคลื่อนเพียงอย่างเดียวได้เป็นระยะทางประมาณ 100 กม.
สำหรับการรองรับระบบการชาร์จพลังงานไฟฟ้า C-Class ใหม่สามารถรองรับเครือข่ายระบบการชาร์จไฟ 48V เพื่อป้อนพลังงานไฟฟ้าให้กับคอมเพรสเซอร์ระบบทำความเย็นและเทอร์โบไฟฟ้า ซึ่งทำให้ลดการสิ้นเปลืองพลังงานเชื้อเพลิงได้มากขึ้น
ในส่วนของการส่องสว่างนั้น รูปแบบไฟส่องสว่างแบบปกติทั่วไปจะมีอยู่ใน C-Class ใหม่รุ่นพื้นฐานขณะที่รุ่นที่ราคาค่าตัวเพิ่มมากขึ้นระบบไฟ LED จะเข้ามามีบทบาทที่สำคัญในการให้ความส่องสว่างโดยไฟสูงจะส่องสว่างไปด้านหน้าเป็นระยะทางที่ยาวไกลถึง 600 ม. โดยไม่ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีแสงเลเซอร์ นอกจากนี้ ยังมีการทำเทคโนโลยี่ที่ถ่ายทอดมาจาก S-Class มาบรรจุใช้ใน C-Class ใหม่อีกมากมาย เช่น การนำรถเข้าจอดโดยสมาร์ทโฟน เป็นต้น ภายในห้องโดยสารการสั่งการทำงานของระบบต่าง ๆ จะลดความยุ่งยากซับซ้อนลงไปเพื่ออำนวยความสะดวกสบายให้กับผู้ขับขี่มากยิ่งขึ้น


