ทดลองขับ(formula)
Nissan Kicks e-Power ขับจริง ใช้จริง ไปได้ไกลเกินคาด !
บริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด จัดทริพทดลองขับ Nissan Kicks e-Power (นิสสัน คิคส์ อี-เพาเวอร์) ตามการใช้งานจริงเต็มรูปแบบด้วยระยะทางกว่า 450 กม. โดยใช้เส้นทางจากกรุงเทพฯ-กาญจนบุรี บนเส้นทางการขับขี่หลากหลายรูปแบบ ทั้งทางเรียบ ทางขรุขระ ทางขึ้น/ลงเขา เป็นต้น
การทดลองขับครั้งนี้ เป็นไปตามคอนเซพท์ “พลังแห่งความเร้าใจ” (Powered to Thrill) เพื่อให้เราได้ทดสอบทุกสมรรถนะของเทคโนโลยี e-Power กับโหมดการขับขี่ที่หลากหลาย อาทิ โหมด EV, Eco, S และ D ในโหมดการขับขี่ปกติ นอกจากนี้ ยังได้เรียนรู้ระบบ One-Pedal มาพร้อมแรงบิด 26.5 กก.-ม. (260 นิวตัน-เมตร) ที่ขับเคลื่อน Nissan Kicks e-Power ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า 100 %
Nissan Kicks e-Power เป็นคอมแพคท์เอสยูวีที่ชูจุดขายหลัก 3 หัวข้อ คือ หน้าตาภายนอกที่ดูโฉบเฉี่ยว, เทคโนโลยี e-Power และระบบความปลอดภัยต่างๆ เป็นต้น เรามาดูกันครับว่า จากการขับจริง ใช้จริง Nissan Kicks e-Power จะตอบโจทย์ตามต้องการของผู้บริโภคชาวไทยได้มากน้อยแค่ไหน และที่สำคัญพโรดัคชันคาร์คันนี้จะช่วยให้ นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย)ฯ คาดหวังยอดจำหน่ายเดือนละประมาณ 400-500 คันได้แค่ไหน ?
จุดขายแรก คือ การออกแบบภายนอก และมิติตัวรถ มีจุดเด่นที่เร้าใจมาก การออกแบบสะท้อน DNA ความสปอร์ทของ Nissan กระจังหน้าแบบ V-Motion ไฟหน้า และไฟท้ายแบบ LED ทรงบูเมอแรง หลังคาแบบลอยตัว (Floating Roof Line) เพิ่มความโดดเด่นด้วยหลังคาสีทูโทน นอกจากนี้ ยังมีการออกแบบความปลอดภัย และความแกร่งบนพื้นฐาน Zone Body Concept ที่มีการดูดซับแรงกระแทก และทำให้ตัวรถมีความแข็งแกร่ง
มิติตัวรถ ตัวถังมีความยาว 4,290 มม. กว้าง 1,760 มม. และสูง 1,615 มม. ระยะฐานล้อ 2,615 มม. รัศมีวงเลี้ยวแคบสุด 5.1 ม. ถังน้ำมันมีความจุ 41 ลิตร
ภายในห้องโดยสาร มีการออกแบบแผงคอนโซลหน้าให้ดูเรียบ เท่ มีการเลือกใช้วัสดุหนังสังเคราะห์แบบนุ่มเดินตะเข็บด้าย, พวงมาลัยหุ้มหนังทรง D-Shape, หัวเกียร์หุ้มหนัง, มีการจัดวางปุ่ม Push Start ใหม่, มีการตกแต่งด้วยเฉดสี Piano Black/Silver, เบาะนั่งแบบ Zero Gravity เล่นสีทูโทนรับกับสีภายนอกของตัวถัง นอกจากนี้ ยังมีมาตรวัดดิจิทอล จอสี TFT ขนาด 7 นิ้ว และดูทันสมัยด้วยจอวิทยุ แบบทัชสกรีนขนาด 8 นิ้ว ซึ่งเป็นจอที่ใหญ่สุดในรถกลุ่มเดียวกัน รองรับการเชื่อมต่อ Nissan Connect เทคโนโลยีเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนเข้ากับหน้าจอเครื่องเสียง ผ่าน Apple CarPlay ช่วยให้คุณอัพเดทโลกออนไลน์ และสร้างความบันเทิงได้ตลอดการเดินทาง ไม่พลาดทุกการสื่อสาร และยังอำนวยความสะดวกสบายด้วยระบบนำทาง Navigation System ผ่าน Google Map ที่มาพร้อมระบบสั่งงานด้วยเสียง (Voice Recognition) ที่ใช้งานง่าย และมีความแม่นยำสูง
สำหรับพื้นที่ใช้สอยภายในห้องโดยสาร เบาะตอนหลังสามารถพับได้ในสัดส่วน 60:40 และ 100 % ทำให้มีพื้นที่จัดเก็บสัมภาระต่างๆ ได้มากถึง 423 ลิตร รองรับทุกกิจกรรมของครอบครัวได้สบายๆ
จุดขายที่ 2 คือ เทคโนโลยี e-Power เป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ใช้น้ำมันในการสร้างกระแสไฟฟ้า เพื่อขับเคลื่อนมอเตอร์ไฟฟ้า 100 % ในการขับขี่ ช่วยให้ขับสนุกด้วยอัตราเร่งการออกตัวที่ได้ดั่งใจ ทีมวิศวกรของ Nissan เปิดเผยให้เราฟังว่า จุดเด่นของระบบ e-Power เมื่อเทียบกับระบบไฮบริด คือ ระบบ e-Power มีแรงบิด และพละกำลังในการขับเคลื่อนสูงกว่า, มีความเงียบมากกว่าในขณะที่เครื่องยนต์ไม่ได้ทำงาน, มีการตอบสนองอัตราเร่งที่รวดเร็ว และนุ่มนวลกว่า เมื่อเทียบกับระบบไฟฟ้า (EV) คือ สามารถไปได้ไกลกว่า โดยที่ไม่ต้องกังวลกับการเสาะหาสถานีชาร์จไฟ ซึ่งบ้านเรายังมีน้อยมาก และมีแรงบิดพอๆ กับระบบของรถไฟฟ้า เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังมีเทคโนโลยีใหม่ One-Pedal มาพร้อมระบบ e-Power ช่วยให้การขับขี่เป็นเรื่องง่ายขึ้น ด้วยการใช้แป้นคันเร่งเพียงอย่างเดียวในการเร่ง หรือชะลอความเร็ว และมีโหมดการขับขี่ให้เลือกถึง 4 โหมด ได้แก่ Normal Mode ให้อัตราเร่งแบบรถไฟฟ้า แต่ตอบสนองในการเบรคเหมือนรถยนต์ทั่วไป, S Mode เน้นสมรรถนะในการขับเคลื่อน และตอบสนองอัตราเร่งที่ดีเยี่ยม, Eco Mode ปรับการทำงานของระบบ e-Power ให้ใช้พลังงานอย่างเต็มประสิทธิภาพ และลดการใช้พลังงานที่สิ้นเปลือง, EV Mode เป็นโหมดขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าที่เหลือภายในแบทเตอรี และ N Mode เป็นโหมดเกียร์ว่างขณะดับเครื่องยนต์
จุดขายที่ 3 คือ เรื่องความปลอดภัย ที่จัดเต็มทุกฟีเจอร์ ด้วยระบบ Nissan Intelligent Mobilityได้แก่ ICC ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ, IRC ระบบช่วยลดอาการโยนตัวบนทางขรุขระ, IEB ระบบช่วยเบรคฉุกเฉิน, IFCW ระบบสัญญาณเตือนเมื่อเสี่ยงต่อการชนด้านหน้า, IRVM ระบบกระจกมองหลังแบบปรับลดแสงสะท้อน พร้อมกล้องมองภาพจากภายนอก แบบเดียวกับที่ใช้ใน Nissan Terra (นิสสัน แตร์รา), BSW ระบบเตือนจุดอับสายตา, RCTA ระบบตรวจจับวัตถุด้านหลังรถขณะถอย, VDC ระบบช่วยควบคุมเสถียรภาพการทรงตัวอัตโนมัติ, HAS ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน, AVM ระบบกล้องมองภาพรอบทิศทาง, MOD ระบบตรวจจับวัตถุและบุคคลรอบตัวรถ, ITC ระบบช่วยควบคุมเสถียรภาพขณะเข้าโค้ง, ถุงลมนิรภัย 6 จุด (ด้านหน้า/ด้านข้าง/ม่านถุงลม), ABS ระบบเบรคป้องกันล้อลอค, EBD ระบบเสริมแรงเบรค, BA ระบบเบรคมือไฟฟ้า, ไฟเบรคดวงที่ 3, และเข็มขัดนิรภัยแบบดึงกลับ
ขุมพลังของ Nissan Kicks e-Power วางเครื่องยนต์รหัส HR12DE เป็นเครื่องยนต์ 3 สูบ DOHC ขนาดความจุ 1.2 ลิตร สำหรับสร้างกระแสไฟฟ้า ระบบจ่ายเชื้อเพลิง ใช้หัวฉีดมัลทิพอยท์ 32 บิท ให้กำลังสูงสุด 79 แรงม้า (60 กิโลวัตต์) ที่ 6,000 รตน. แรงบิด 11.0 กก.-ม. (103 นิวตัน-เมตร) ที่ 3,600-5,200 รตน. ส่วนมอเตอร์ไฟฟ้า สำหรับขับเคลื่อน เป็นมอเตอร์ไฟฟ้า EM57 ชนิด AC3 Synchronous Motor กำลังสูงสุด 129 แรงม้า (95 กิโลวัตต์) ที่ 4,500-8,992 รตน. แรงบิดสูงสุด 26.5 กก.-ม. (260 นิวตัน-เมตร) ที่ 500-3,008 รตน. ถ่ายทอดกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ
ระบบรองรับ ด้านหน้าแบบอิสระ แมคเฟอร์สันสตรัท พร้อมเหล็กกันโคลง ด้านหลังแบบทอร์ชันบีม คอยล์สปริง พร้อมเหล็กกันโคลง
จากการทดลองขับแบบขับจริง ใช้งานจริงตามเส้นทางจราจรที่หลากหลาย ทั้งการจราจรในกรุงเทพฯ ผ่านทางหลวงสายหลักที่มี 4 ช่องทางจราจร หรือทางหลวงชนบทข้ามขุนเขาจากราชบุรี สู่กาญจนบุรี ระยะกว่า 450 กม. ทำให้เราคุ้นเคยกับตัวรถมากกว่าปกติ สิ่งที่ประทับใจมาก คือ การควบคุมรถง่ายดายมาก น้ำหนักพวงมาลัยเพาเวอร์ควบคุมด้วยไฟฟ้า ช่วยให้เราสนุกกับการขับขี่ การตอบสนองวงเลี้ยวในระยะกระชั้นชิด ทำได้ดี มุดสนุก มีเพียงผิวสัมผัสของวงพวงมาลัยและสีสัน ที่น่าจะปรับลุค หรือคัดสรรวัสดุเพิ่มสักนิดเพื่อให้รับกับสีสันของตัวรถ อัตราเร่งของเครื่องยนต์ที่ผสานกับไฟฟ้า ให้ความรู้สึกที่ดี ไม่อืดอาด ไม่หน่วงจนน่ารำคาญ เร่งแซงฉับไว ขับแบบปกติ เหยียบบ้าง ผ่อนบ้าง ยังสามารถทำอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ยที่ระดับ 17.9 กม./ลิตร ถ้าไม่รีบร้อนใช้วิธีเติมคันเร่งเนียนๆ ค่อยๆ เติมแบบขับประหยัดน้ำมัน น่าจะทำตัวเลขได้ดีกว่านี้เยอะ
ภายในห้องโดยสารดูดีในระดับที่เก็บงานได้ละเอียดขึ้น หน้าจอของมาตรวัดดูง่าย อ่านข้อมูลการขับขี่ได้ชัดเจน และครบถ้วน ส่วนหน้าจอวิทยุ มีขนาดที่ลงตัวกับแผงคอนโซล จอใช้งานง่าย มองเห็นชัดเจน และทัชสกรีนได้ง่ายกว่ารถคู่แข่งหลายรุ่น ส่วนช่วงล่างออกแนวนุ่มหนึบ นั่งสบาย ไม่โฉ่งฉ่าง กระเด้งกระดอนจนผู้โดยสารบ่น
ทีเด็ดที่ นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย)ฯ บอกผ่านสื่อ คือ ระยะเวลาในการรับประกันต่างๆ ฟังดูแล้วช่างเย้ายวนใจยิ่งนัก โดยรับประกันคุณภาพตัวรถ 3 ปี หรือ 100,000 กม., รับประกันระบบ e-Power 5 ปี หรือ 100,000 กม. และรับประกันแบทเตอรีระบบ e-Power 10 ปี หรือ 200,000 กม. และลูกค้าสามารถเปลี่ยนแบทเตอรีลิเธียม-ไอออน ได้ 1 ครั้ง ในช่วงปีที่ 6-10 หรือที่ระยะทางไม่เกิน 200,000 กม. (แล้วแต่ระยะใดระยะหนึ่งถึงก่อน) เชื่อว่าเงื่อนไขพิเศษเหล่านี้ แฟนพันธุ์แท้ของ Nissan คงไม่ยอมพลาดพโรโมชันดีๆ แบบนี้แน่นอน !
ค่าตัวของ Nissan Kicks e-Power เริ่มต้นด้วยรุ่น e-Power S ราคา 889,000 บาท รุ่น e-Power E ราคา 949,000 บาท รุ่น e-Power V ราคา 999,000 บาท และรุ่นทอพ e-Power VL ราคา 1,049,000 บาท
เรื่องโดย : ลิขิต น้าประเสริฐ
ภาพโดย : บริษัทผู้ผลิต
คอลัมน์ Online : ทดลองขับ(formula)
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/online/341812