ธุรกิจ
Ducati เปิดตัวรถรุ่นใหม่ในงานมอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 41
บริษัท ดูคาทิสติ จํากัด หรือ Ducati ไทยแลนด์ เปิดตัวบิกไบค์ระดับพรีเมียมที่อัดแน่นไปด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัย เผยโฉม 2 รุ่นใหม่ ทั้ง New Panigale V4 (ปานิกาเล วีโฟร์ ใหม่ เวอร์ชันปี 2020) และ Scrambler 1100 Pro (สแกรมบเลอร์ 1100 พโร) พร้อมเผยสีใหม่ Diavel 1260 S (ไดเวล 1260 เอส) ในงานมอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 41
สมรรถ รอบบรรเจิด กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดูคาทิสติ จํากัด หรือ Ducati ไทยแลนด์ กล่าวว่า “สําหรับงานมอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 41 ในปีนี้ Ducati ไทยแลนด์ ยังคงตอกย้ำความเป็นผู้นําในด้านนวัตกรรมใหม่ๆ ด้วยการนํารถ Ducati (ดูกาตี) ที่ได้มีการคิดค้น และพัฒนาเทคโนโลยี เพื่อตอบสนองการใช้งานทางด้านการขับขี่ ทั้งในสนามแข่งขัน และการใช้งานบนท้องถนนอย่าง New Panigale V4 และรถที่ขี่สนุก โดดเด่นด้วยดีไซจ์นใหม่ พร้อมให้คุณใช้เทคโนโลยีในการขับขี่ได้อย่างเต็มที่กับ Scrambler 1100 Pro นอกจากนี้ ยังมีแคมเปญพิเศษสําหรับผู้ที่จองรถ Ducati ในงาน ทั้งการผ่อนดอกเบี้ย 0 % นานสูงสุด 72 เดือน และฟรีดาวน์ 15 % ที่งานมอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 41 ตั้งแต่วันนี้-26 กรกฎาคม 2563 ณ Impact เมืองทองธานี”
สําหรับรถ Ducati รุ่นใหม่ที่นํามาเปิดตัวในงานมอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 41 มีดังนี้
1. Ducati Panigale V4 MY 2020/Panigale V4 S MY 2020 เวอร์ชันปี 2020 ได้มีการพัฒนาประสิทธิภาพอย่างไม่หยุดยั้ง ยกระดับความเป็นมืออาชีพในสนามแข่ง ทําให้รถ Panigale V4 MY 2020 เป็นรถที่ง่ายต่อการควบคุม และสามารถทําเวลาได้เร็วขึ้นทั้งในสนามแข่ง และการใช้งานบนท้องถนน เครื่องยนต์ Desmosedici Stradale ถูกวางทํามุมในตําแหน่ง 90 องศา เช่นเดียวกับเทคโนโลยีที่ใช้ในรถ Ducati ใน MotoGP ความจุกระบอกสูบ 1,103 ซีซี โดยมีระบบ Desmodromic Timing, Counter-rotating Crankshaff ที่หมุนตรงกันข้ามกับเครื่องยนต์ทั่วไป เพื่อลดผลกระทบจากแรงเหวี่ยงของล้อ และ “Twin Pulse” fingle order การจุดระเบิด 2 ครั้งในการหมุน 90 องศา และด้วยเทคโนโลยีเหล่านี้ ส่งผลให้เครื่องยนต์ Desmosedici Stradale มีพละกําลังอยู่ที่ 214 แรงม้า ที่ 13,000 รตน. และเรียกแรงบิดสูงสุดได้ที่ 124 นิวตัน-เมตร ที่ 10,000 รตน. และมาพร้อมกับล้อ Marchesini ทางทีม Ducati และ Ducati Corse ได้ร่วมกันพัฒนารถโดยใช้ข้อมูลจากผู้ใช้รถ Ducati ทั้งการใช้งานบนท้องถนนทั่วไป และจากการแข่งขัน World Superbike จึงปรับเฟรมหน้าให้มีความแข็งแรงและมีการยืดหยุ่นที่ดี ซึ่งเป็นจุดเด่นที่ต่างจาก Panigale V4 เวอร์ชันที่แล้ว ที่เฟรมหน้า และระบบช่วงล่างที่มีจุดศูนย์ถ่วงสูงขึ้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุดขององศาการเอียงรถในขณะเข้าโค้งเช่นเดียวกันกับ V4 R ส่งผลให้ผู้ขับขี่สามารถเข้าโค้งได้ง่าย และรวดเร็วขึ้น สําหรับ V4 ตัวมาตรฐานจะใช้ชอคอับหน้า Showa ขนาดลูกสูบ 43 มิลลิเมตร และกันสะบัดจาก Sachs พร้อมทั้งชอคอับหลัง Sachs โดยทั้งด้านหน้า และด้านหลัง สามารถปรับระดับแรงกดสปริง, ความแข็งและความหนืดได้เช่นเดียวกัน และในเวอร์ชัน S จะมีระบบช่วงล่างปรับอีเลคทรอนิคส์ Ohlins NIX-30 สําหรับชอคอับหน้า, กันสะบัดปรับไฟฟ้า Ohlins และชอคอับ
Ohlins TTX 36 ปรับไฟฟ้าเช่นกัน ทั้งหมดทํางานร่วมกับระบบ IMU (Initial Measurement Unit) 6 แกน จึงทําให้ Ducati Panigale V4 เวอร์ชันนี้ สามารถควบคุมได้ง่ายขึ้น และมีการยึดเกาะถนนที่ดีเยี่ยม โดยระบบอีเลคทรอนิคส์ที่ใช้ใน Panigale V4 เวอร์ชันปี 2020 เป็นเทคโนโลยีล่าสุดที่มีอยู่ใน Panigale V4 R ซึ่ง Ducati ได้ทําการพัฒนาระบบอากาศพลศาสตร์บนตัวรถ มีการคํานวณแรงกดอากาศในอุโมงค์ลม โดยใช้ระบบ Preliminary CFD บนคอมพิวเตอร์ในการทดสอบ และออกแบบ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุดในการยึดเกาะถนน และเพิ่มความมั่นใจให้แก่ผู้ขับขี่
สําหรับราคา Panigale V4 เวอร์ชัน Standard อยู่ที่ 999,000 บาท และ Panigale V4 เวอร์ชัน S อยู่ที่ 1,249,000 บาท เริ่มส่งมอบเดือนสิงหาคม เป็นต้นไป
2. Ducati Scrambler 1100 Pro ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ขนาด 1,079 ซีซี 86 แรงม้า มาพร้อมระบบสมองกล ECU M4C โดย Continental และระบบเซนเซอร์ใหม่ “Lambda Sensor” รวมถึง “Map Sensors” ที่ใช้ใน Panigale V4 ที่มีเทคโนโลยีอันทันสมัย ไม่ว่าจะเป็นระบบทแรคชันคอนทโรลที่จะช่วยควบคุมการสไลด์ของตัวรถในขณะเจอสภาพถนนที่เปียกลื่น หรือแม้กระทั่งขณะ เพลิดเพลินอยู่ในโค้งแล้วเผลอใช้คันเร่งแรงเกินไป โดยเมื่อรถมีอาการล้อหลังเริ่มหมุนเร็วกว่าล้อหน้า ตัวรถจะตัดกําลัง ของเครื่องยนต์ลงเพื่อรักษาอาการรถไม่ให้เสียอาการ เนื่องจากล้อหลังสไลด์ หรือแม้กระทั่งการใช้เบรคอย่างเต็มน้ำหนัก ขณะรถเอียงอยู่ในโค้ง ระบบ Cornering ABS ก็จะช่วยไม่ให้รถลื่นไถลจากการใช้เบรคในโค้ง ควบคุมด้วยระบบล่าสุด “IMU แบบ 6 แกน” นอกจากนี้ ยังสามารถปรับเปลี่ยน Riding Modes ได้ 3 รูปแบบ ทั้ง Active, Journey และ City ช่วยเพิ่มความมั่นใจ และตอบโจทย์ได้ทุกการเดินทาง
สําหรับ Scrambler 1100 Pro มีดีไซจ์นสีทูโทน “Ocean Drive” ผนวกเข้ากับเฟรมสีดํา และซับเฟรมหลังอลูมิเนียม มาพร้อมกับท่อไอเสียทรงใหม่ดีไซจ์นออกคู่ด้านข้าง และการ์ดบังโคลนหลังที่ยึดป้ายทะเบียนด้านล่าง รวมถึงชุดโคมไฟหน้าแบบ “X-shape” อันเป็นเอกลักษณ์ ส่วน Scrambler 1100 Sport Pro มีการออกแบบที่เพิ่มเติมในหลายจุด โดยสะท้อนบุคลิกที่ดูสปอร์ท และความเป็นอิสระบนท้องถนนอย่างชัดเจน ด้วยสีดําด้านดุดัน และแฮนเดิลบาร์ทรงต่ำ รับกันกับกระจกส่องหลังสไตล์ “Cafe Racer” มาพร้อมกับช่วงล่างที่ประสิทธิภาพยอดเยี่ยมจากชอคอับระดับโลกอย่าง Öhlins ทั้งด้านหน้า และหลัง ตอกย้ำความเป็นรถสปอร์ทได้อย่างชัดเจน โดยราคาของ Ducati Scrambler 1100 Pro อยู่ที่ 579,900 บาท และราคา Ducati Scrambler Special 1100 Sport Pro อยู่ที่ 659,000 บาท เริ่มส่งมอบเดือนสิงหาคม เป็นต้นไป
3. Ducati Diavel 1260 S/Diavel 1260 S Ducati Red
การผสมผสานระหว่างเอกลักษณ์ของรถ Diavel และเครื่องยนต์ Testastretta DVT 1260 ที่มีวาล์วเดสโมโดรมิคแบบแปรผัน ทําให้การตอบสนองของคันเร่งมีความนุ่มนวลสูงสุดในรอบต่ำ และให้อารมณ์การขับขี่แบบสปอร์ทในรอบสูง ทําให้การขับขี่ที่ใช้ความเร็วสูง หรือการเข้าโค้ง มีความปลอดภัยจากเทคโนโลยีอันทันสมัย ทําให้ Ducati Diavel ใหม่ ยังคงไว้ซึ่งเอกลักษณ์อันโดดเด่น และสุนทรียภาพในการขับขี่ไว้ได้อย่างลงตัว สําหรับราคา Diavel 1260 S สีแดง ใหม่ อยู่ที่ 999,000 บาท เริ่มส่งมอบเดือนสิงหาคม เป็นต้นไป
เรื่องโดย : สุดาภรณ์ ไกรแก้ว
ภาพโดย : เกรียงศักดิ์ ปันสม
คอลัมน์ Online : ธุรกิจ (บก. ออนไลน์)
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/online/334479