โมริคาซุ ชกกิ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่าปี 2562 นับว่าเป็นปีที่ดีเยี่ยมของ มิตซูบิชิ ที่เป็น 1 ในเพียง 3 บริษัทรถยนต์ที่มียอดจำหน่ายเติบโตเพิ่มขึ้น โดยบริษัทฯ มียอดขาย 88,244 คัน เติบโตเพิ่มขึ้น 4.4 % เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า มีส่วนแบ่งตลาด 8.8 % ซึ่งผลการดำเนินงานของ มิตซูบิชิ เติบโตสูงกว่าอุตสาหกรรมรถยนต์ในภาพรวม ซึ่งมียอดจำหน่ายรวมทั้งหมดที่ 1,007,552 คัน ลดลง 3.3 % จากปี 2561
ทั้งนี้ รถที่มียอดจำหน่ายสูงสุด คือ ทไรทัน มียอดจำหน่ายที่ 35,807 คัน หรือ 41 % ของยอดจำหน่ายทั้งหมด ขณะที่ เอกซ์แพนเดอร์ มียอดจำหน่ายสูงสุดเป็นอันดับ 2 ที่ 16,196 คัน หรือ 18 % ปาเจโร สปอร์ท ใหม่ ที่เพิ่งเปิดตัวในปีที่ผ่านมา มียอดจำหน่ายที่ 13,558 คัน หรือ 15 % สำหรับซิทีคาร์ แอททราจ และมิราจ ยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องด้วยยอดจำหน่ายรวม 22,683 คัน หรือ 26 %
ด้านการส่งออก มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย)ฯ ครองตำแหน่งผู้ส่งออกรถยนต์อันดับ 1 โดยสามารถส่งออกรถยนต์รวมทั้งสิ้น 332,700 คัน ประกอบด้วยรถยนต์สำเร็จรูป (BU) 284,500 คัน และรถยนต์ชิ้นส่วนประกอบ (KD) 48,200 คัน โดยในปี 2562 ยังได้ฉลองความสำเร็จในการส่งออกรถยนต์ครบ 4 ล้านคัน
สำหรับการผลิตในปีที่ผ่านมา มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย)ฯ สามารถผลิตรถยนต์รวมทั้งสิ้น 407,200 คัน ประกอบด้วยรถยนต์สำเร็จรูป (BU) 353,500 คัน และรถยนต์ชิ้นส่วนประกอบ (KD) 53,700 คัน
นอกจากผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพเป็นเลิศ ปัจจัยสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนความสำเร็จ ได้แก่ การพัฒนาเครือข่ายผู้จัดจำหน่าย และการสร้างความพึงพอใจให้แก่ลูกค้า โดยในปีที่ผ่านมา มีเครือข่ายผู้จำหน่ายจำนวน 229 แห่ง ครอบคลุมทุกจังหวัดทั่วประเทศ และยังได้เปิดตัวไลฟ์สไตล์โชว์รูมแนวคิดใหม่ เพื่อมอบความพึงพอใจ และประสบการณ์เหนือระดับให้แก่ลูกค้า พร้อมเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ มิตซูบิชิ
ด้านบริการหลังการขายที่มีลูกค้าเป็นศูนย์กลางภายใต้สโลแกน "เราดูแล คุณแค่ขับ" มอบความมั่นใจให้แก่ลูกค้าในราคาที่ไม่แพง ด้วยคุณภาพสินค้า และบริการที่ดี อะไหล่แท้ที่ตอบโจทย์ การบริการโดยผู้เชี่ยวชาญที่ผ่านการฝึกฝนอบรม การดูแลและเข้าใจในสินค้าและการบริการ เพื่อมอบความพึงพอใจสูงสุดให้แก่ลูกค้า ตลอดจนการเข้าถึงบริการ และเครือข่ายผู้จำหน่ายได้อย่างสะดวกสบาย พร้อมการจัดกิจกรรมเพื่อสร้างความสัมพันธ์แก่ลูกค้า
พร้อมกันนี้ ยังได้มุ่งมั่นพัฒนาบุคลากร โดยมีเป้าหมายสูงสุด คือ การมอบผลิตภัณฑ์ และการบริการที่ดีที่สุดให้แก่ลูกค้า ทั้งนี้ สถาบันการศึกษาและฝึกอบรม หรือ EA คือ ศูนย์กลางการดำเนินงานเพื่อพัฒนาความรู้ และทักษะ โดยในปีที่ผ่านมา ทางบริษัทฯ ยังได้ลงทุนเพื่อพัฒนากระบวนการเรียนรู้ผ่านระบบการจ้ดการการฝึกอบรม (TMS) และระบบการเรียนรู้ออนไลน์ (e-Learning) เพื่อบรรลุเป้าหมายการเพิ่มส่วนแบ่งตลาดให้ได้มากกว่า 9 % ในปี 2563 โดยบริษัทฯ ยังคงมุ่งเน้น 3 ปัจจัยแห่งความสำเร็จ ได้แก่ 1. การให้ความสำคัญกับลูกค้า 2. การปรับปรุงพัฒนาเครือข่ายผู้จำหน่าย และ 3. การพัฒนาบุคลากร โดยยกระดับการดำเนินงานของผู้จำหน่ายสู่มาตรฐานขั้นสูงอย่างต่อเนื่อง พร้อมปรับภาพลักษณ์โชว์รูม และศูนย์บริการทั่วประเทศ ให้เป็นไปตามมาตรฐานระดับโลกของ มิตซูบิชิ ด้วยอัตลักษณ์ใหม่ เพื่อส่งมอบประสบการณ์เหนือระดับให้แก่ลูกค้าในทุกช่องทาง พร้อมกับขยายเครือข่ายผู้จำหน่ายเพิ่มเป็น 250 แห่งทั่วประเทศ
สำหรับด้านการผลิต บริษัทฯ จะเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้วยการสร้างโรงพ่นสีแห่งใหม่ พร้อมปรับปรุงการปฏิบัติงานในขั้นตอนเชื่อมตัวถัง และขั้นตอนการประกอบ โดยมีแผนการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ และระบบอัตโนมัติมาประยุกต์ใช้เพื่อยกระดับคุณภาพ ประสิทธิภาพ และยังเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมในกระบวนการผลิต
มิตซูบิชิ ในฐานะหนึ่งในผู้นำด้านระบบขับเคลื่อนพลังงานไฟฟ้าระดับโลก มีแผนที่จะผลิต มิตซูบิชิ เอาท์แลนเดอร์ พีเอชอีวี รถพลังงานไฟฟ้าประเภทพลัก-อิน ไฮบริด ที่โรงงานผลิตที่แหลมฉบัง ในปี 2564 ด้วยเงินลงทุนมากกว่า 3,130 ล้านบาท และยังส่งเสริมผู้ผลิตชิ้นส่วนภายในประเทศ ด้วยการจัดหาและใช้ชิ้นส่วนภายในประเทศเป็นหลัก
บทความแนะนำ เกี่ยวกับ มิตซูบิชิ
บทความแนะนำ คอลัมน์ ธุรกิจ