ทดลองขับ(formula)
มาซดา 3 ซีดานเน้นหรู...ฟาสต์แบคดุแนวสปอร์ท
หลังจาก บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดตัวอย่างเป็นทางการในประเทศไทย ทั้งตัวถัง 4 ประตู ซีดาน (Sedan) และ 5 ประตู ฟาสต์ท์แบค (Fastback) 3 รุ่นย่อย คือ ซี (C) ราคา 969,000 บาท เอส (S) ราคา 1,069,000 บาท และเอสพี (SP) ราคา 1,198,000 บาท ก็ถึงคิวของการทดลองขับ
การทดลองขับรอบนี้ มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย)ฯ จัดรถ มาซดา 3 รุ่นทอพ เอสพี ทั้งตัวถังแบบ 4 ประตู และ 5 ประตู
มิติตัวถังแบบ 4 ประตู ซีดาน ยาว/กว้าง/สูง 4,662/1,797/1,445 มม. ยาวกว่า รุ่น 5 ประตู ฟาสต์แบค 4,459/1,797/1,440 มม. แต่มีระยะห่างระหว่างล้อหน้า 1,570 มม. ล้อหลัง 1,580 มม. และความยาวฐานล้อ 2,725 มม. เท่ากัน
เทียบกับรุ่นเดิม 4 ประตู ยาวขึ้น 73 มม. และ 5 ประตู สั้นลง 10 มม. ส่วนฐานล้อยาวขึ้น 25 มม.
เทียบกับ ฮอนดา ซีวิค รุ่น 4 ประตู มาซดา 3 ยาว/สูง กว่า 14/29 มม. รุ่น 5 ประตู สั้นกว่า 41 มม. แต่สูงกว่า 14 มม. โดยมีระยะห่างล้อหน้า/ล้อหลัง/ฐานล้อกว้างกว่า 23/17/28 มม.
เทียบกับ โตโยตา โคโรลลา อัลทิส ใหม่ มาซดา 3 ยาว/กว้าง/สูง กว่า 30/15/25 มม. มีระยะห่างล้อหน้า/ล้อหลัง/ฐานล้อกว้างกว่า 39/15/25 มม.
มาซดา 3 ใหม่ เจเนอเรชันที่ 7 มีหน้าตาที่โฉบเฉี่ยวลู่ลมกว่าเดิม ในรุ่น 4 ประตู เน้นความหรูหรา ด้วยขอบกระจังโครเมียม รุ่น 5 ประตู เน้นบุคลิกสปอร์ท กระจังหน้าลายตาข่ายสีดำ กันชนหน้าแบบสปอร์ท แต่งใต้กันชนด้วยสีดำเข้ากับกระจังหน้า
ไฟหน้า Projector Lens แบบ LED พร้อมไฟ Daytime Running Light แบบ LED และระบบเปิด/ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ แต่ไม่มีไฟตัดหมอกให้เห็นในกันชน
กระจกมองข้างแบบสปอร์ท คล้ายกับ เอมเอกซ์-5 ติดตั้งอยู่บนบานประตูหลังแนวกระจกหน้าเกือบ 1 ฟุต
หลังแนวกระจกบานหน้าออกแบบแตกต่างกัน ตั้งแต่ ประตูหน้า/ประตูหลัง/หลังคา รุ่น 4 ประตู หลังคาต่ำ ฝากระโปรงสั้นตามสไตล์สปอร์ทซีดาน และรุ่น 5 ประตู หลังคาลาดเท แนวเสาหลังหนา (รวมเอาเสา C และ D ไว้ด้วยกัน) ทำให้นึกถึง 323 รุ่นปี 1970 ที่มีเสาหลังหนาแบบนี้ ฝากระจกท้าย หรือประตูบานที่ 5 คลุมถึงแนวกันชน สปอยเลอร์หลังสีดำ
ทั้ง 2 รุ่น ใช้ไฟท้ายแบบ LED วงกลมคู่ และปลายท่อโครเมียมคู่แบบสปอร์ท ในรุ่น 5 ประตู กันชนหลังแบบสปอร์ท
สรุปรูปทรงโดยรวมรุ่น 4 ประตู ลงตัวแบบสปอร์ทซีดาน แต่ 5 ประตู แปลกตา เน้นเสา C เอกลักษณ์ของ ฟาสต์แบค
ภายในห้องโดยสารตกแต่งด้วยโทนสีดำ พวงมาลัยหุ้มด้วยหนัง ปรับได้ 4 ทิศทาง (ขึ้น/ลง/เข้า/ออก) พร้อมเพาเวอร์ไฟฟ้า (EPAS) หัวเกียร์หุ้มด้วยหนัง
ระบบเบรคมือไฟฟ้า (Electronic Parking Brake) ระบบหน่วงเวลาเบรคป้องกันรถไหล (Auto Brake Hold) ระบบกุญแจอัจฉริยะ (Smart Keyless Entry) ปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ (Push Start Button)
มาตรวัดแบบกึ่งดิจิทอล มาตรวัดรอบแบบเข็ม Analog มาตรวัดความเร็ว และหน้าจอแสดงข้อมูล (MID) แบบสี (TFT) รวมในชุดมาตรวัด พร้อมหน้าจอแสดงข้อมูลบนกระจกบังลมหน้า (Active Driving Head-up Display)
เบาะนั่งหุ้มด้วยหนัง สีทูโทน ดำ/น้ำตาลเข้ม เบาะนั่งคนขับ ปรับด้วยไฟฟ้า 8 ทิศทาง พร้อมระบบปรับดันหลังไฟฟ้า (Lumbar Support) และระบบบันทึกตำแหน่ง (Memory Seat) 2 ตำแหน่ง เบาะนั่งผู้โดยสารตอนหน้าปรับด้วยมือ 4 ทิศทาง
เบาะนั่งด้านหลัง แยกพับอิสระ 60:40 ในรุ่น 4 ประตู มีพื้นที่เหนือศีรษะโล่งกว่า 5 ประตู
ระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติ แยกอิสระซ้าย/ขวา (Dual Zone) ช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง
จอกลางขนาด 8.8 นิ้ว ปุ่มควบคุมหน้าจอ (Center Commander) สวิทช์ควบคุมเครื่องเสียงบนพวงมาลัย ช่องเชื่อมต่อ AUX/USB ระบบเชื่อมต่อไร้สาย (Bluetooth) ช่องชาร์จไฟ 12V รองรับ Apple CarPlay/Android Auto ระบบนำทาง (Navigation System) ระบบเสียงจาก Bose® ลำโพง 12 ตำแหน่ง พร้อมซับวูเฟอร์ (Sub-Woofer)
เครื่องยนต์เบนซิน (Skyactiv-G) แบบ 4 สูบ ขนาด 2.0 ลิตร Dual S-VT Electronic Direct Injection กระบอกสูบ/ระยะช่วงชัก 83.5/91.2 มม. อัตราส่วนกำลังอัด 13.0:1 น้อยลง (เดิม 14.0:1) กำลังสูงสุด 165 แรงม้า ที่ 6,000 รตน. แรงบิดสูงสุด 21.7 กก.-ม. ที่ 4,000 รตน. เพิ่มขึ้นเล็กน้อย (เดิม 21.4 กก.-ม.) จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ ประหยัดน้ำมัน อัตราสิ้นเปลือง 15.9 กม./ลิตร (ตัวเลขผู้ผลิต) และรองรับน้ำมันสูงสุด E85
เทียบกับคู่แข่ง 4 ประตูซีดาน ที่ใช้เครื่องยนต์เบนซิน 1.8 ลิตร ฮอนดา ซีวิค กำลังสูงสุด 141 แรงม้า ที่ 6,500 รตน. แรงบิดสูงสุด 17.7 กก.-ม. ที่ 4,300 รตน. และโตโยตา โคโรลลา อัลทิส จีอาร์ สปอร์ท กำลังสูงสุด 140 แรงม้า ที่ 6,000 รตน. แรงบิดสูงสุด 18.0 กก.-ม. ที่ 4,000 รตน. ซึ่งทั้งคู่ใช้เครื่องยนต์เล็กกว่า และเกียร์อัตโนมัติแปรผัน หรือซีวีที 7 จังหวะ แต่มีตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองใกล้เคียงกัน (16.1/15.6 กม./ลิตร)
หลังจากทดลองขับมากว่า 200 กม. จากภูเก็ต ไป/กลับพังงา ในสภาพเส้นทางที่เต็มไปด้วยโค้ง ทางลาดชัน สมรรถนะอัตราเร่งไม่ใช่คำตอบ แต่กำลังที่มาจากแรงบิดมากกว่า 20.0 กก.-ม. แบบต่อเนี่องผ่านเกียร์ 6 จังหวะ ขับสบายในทางชัน และความประหยัด คือ สิ่งที่ใช่สำหรับ มาซดา 3 ใหม่ ตัวเลขเกิน 10 กม./ลิตร แม้จะจัดหนักมาตลอดเส้นทาง
เพิ่มความสนุกในโหมดสปอร์ท (Sport) ที่มีมาให้ ในรอบเครื่องยนต์ 4,000-6,000 รตน. ถึงแม้ว่าจะไม่มีรุ่นเครื่องยนต์เล็กติดเทอร์โบ ซึ่งจัดจ้านกว่ามาให้ได้เลือก
ช่วงล่างด้านหน้า แมคเฟอร์สันสตรัท ช่วงล่างด้านหลังใหม่แบบทอร์ชันบีม ลงตัวกับระยะห่างล้อหน้า/หลัง/ฐานล้อ 1,570/1,580/2,725 มม. กว้างกว่าคู่แข่ง และระบบควบคุมแรงบิดขณะเข้าโค้ง (G-Vectoring Control PLUS) ทำให้ มาซดา 3 ใหม่ ทั้ง 2 โมเดลควบคุมง่ายในขณะเข้าและออกจากโค้ง แม้ว่ายางที่ใส่จะเป็นตระกูล ดีบี เน้นความนุ่มและเงียบ
นอกจากระบบความปลอดภัยพื้นฐาน อย่าง ระบบเบรคป้องกันล้อลอค (ABS) ระบบกระจายแรงเบรค (EBD) ระบบเสริมแรงเบรค (BA) ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว (DSC) ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี และลื่นไถล (TCS) ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน (HLA) และระบบปัดน้ำฝนแบบอัตโนมัติ ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ
มาซดา 3 ใหม่ ยังติดตั้งระบบไฟหน้าอัจฉริยะ (ALH: Adaptive LED Headlamps) ระบบเตือนเมื่อรถเบี่ยงออกนอกช่องจราจร (LDWS) ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องจราจร (LAS) ระบบช่วยหยุดรถอัตโนมัติด้านหน้า (SCBS) และด้านหลัง (SCBS-R) ระบบช่วยเตือนเมื่อเหนื่อยล้าขณะขับขี่ (DAA) ระบบเตือนเมื่อมีรถในมุมอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน (ABSM) ระบบเตือนเมื่อมีรถในมุมอับสายตาขณะถอยหลัง (RCTA) ระบบเตือนการชนด้านหน้า และช่วยเบรค (SBS) ระบบแจ้งสภาพการจราจร และป้าย (CTS: Cruising & Traffic Support) ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน (MRCC: Mazda Radar Cruise Control) และระบบควบคุมแรงบิดขณะเข้าโค้ง (G-Vectoring Control แบบ PLUS)
รวมทั้งระบบสัญญาณไฟฉุกเฉินอัตโนมัติเมื่อเบรคกะทันหัน (ESS) และถุงลมนิรภัย 7 ตำแหน่ง คู่หน้า 2 ตำแหน่ง ด้านข้าง 2 ตำแหน่ง ม่านนิรภัย 2 ตำแหน่ง หัวเข่าคนขับ 1 ตำแหน่ง เซนเซอร์กะระยะช่วยจอด ด้านหน้า 4 ตำแหน่ง/ด้านหลัง 4 ตำแหน่ง และระบบกล้องรอบคัน 360 องศา ช่วยให้เข้า/ออกช่องทางแคบได้ง่าย และสะดวกยิ่งขึ้น
มาซดา 3 ใหม่ ทั้ง 2 โมเดล เรียกได้ว่าครบเครื่อง ทั้งรูปโฉม ห้องโดยสารสปอร์ท เครื่องยนต์ใหญ่กว่าคู่แข่ง ควบคุมง่าย และระบบความปลอดภัยเพียบพร้อม โดยเฉพาะรุ่น เอสพี แต่ก็น่าเสียดายที่ มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย)ฯ ตัดรุ่นเริ่มต้น อี (E) ราคา 8 แสนกว่าบาท ออกไป ทำให้ความคุ้มค่าลดน้อยลงด้วย
เรื่องโดย : thanasan saowamol
ภาพโดย : Mazda
คอลัมน์ Online : ทดลองขับ(formula)
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/online/295610