อยู่ในขั้นตอนการเจรจาเพื่อตกลงเป็นหุ้นส่วนกันระหว่าง Jaguar Land Rover ร่วมกับ BMW และในอนาคต เราอาจได้เห็นการผสมผสานเทคโนโลยีในรถของทั้ง 2 ค่ายรายงานข่าวระบุว่า สำหรับค่าย BMW ที่ใช้โครงสร้างพื้นฐานรถขนาดเล็ก FAAR/UKL2 ซึ่งใช้อยู่ใน Mini Countryman, BMW 1-Series, X1 และ X2 อาจนำมาพัฒนาเป็น เอสยูวี ขนาดเล็กของ Jaguar Land Rover โครงสร้าง FAAR สามารถนำมาพัฒนาเป็น เอสยูวี โดยจะอยู่ในระดับต่ำกว่า E-Pace สำหรับ Jaguar Land Rover โครงสร้างพื้นฐานของ BMW สามารถจะนำมาเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำหรับ Defender หรืออาจใช้ชื่อ Freelander โครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้ เริ่มมีมาตั้งแต่ปี 2549 โดยพัฒนามาจากโครงสร้างของ Ford และ Volvo แล้ว หากการเจรจาประสบผลสำเร็จ ก็อาจทำให้กำลังการผลิตโครงสร้างพื้นฐาน FAAR เพิ่มขึ้นราว 250,000-650,000 ชุด/ปี อันทำให้มีความคุ้มค่ามาก ขณะเดียวกัน ก็จะทำให้ค่าย Jaguar Land Rover สามารถประหยัดค่าใช้จ่ายในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสำหรับรถขับเคลื่อนล้อหน้า จากการใช้โครงสร้างของ BMW อันเป็นแนวทางให้สามารถพัฒนาต่อยอดไปสู่เทคโนโลยี ไฮบริด ได้โดยง่าย และในกรณีเดียวกัน Jaguar Land Rover ไม่จำเป็นต้องผลิตรถยนต์ให้ได้ค่ามลภาวะจากไอเสีย ที่สหภาพยุโรป กำหนดสำหรับรถยนต์ใหม่ รุ่นปี 2563 ต้องมีค่าไอเสียไม่เกิน 95 กรัม/กม. ส่วนข้อกำหนดของสหภาพยุโรป สำหรับปี 2568 หรืออีก 5 ปีข้างหน้า กำหนดให้มีค่าไอเสียได้ไม่เกิน 80 กรัม/กม. รวมทั้งมีระเบียบเพิ่มเติมว่า จะต้องจำหน่ายรถไฟฟ้า หรือ ไฮบริด-ไฟฟ้า ให้ได้ 15 % ของยอดขาย เช่นเดียวกับการเจรจาเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน Jaguar Land Rover ยังได้เจรจาเรื่องเครื่องยนต์ทั้งเบนซินและดีเซล รวมทั้งระบบไฮบริดด้วยเช่นกัน Jaguar Land Rover กำลังเตรียมที่จะแนะนำรถยนต์ขับเคลื่อนล้อหลังขนาดใหญ่ ด้วยโครงสร้างพื้นฐานล่าสุด MLA รวมทั้งในแบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ในชื่อ Jaguar ZJ ซึ่งมีให้เลือกทั้งรุ่นเครื่องยนต์สันดาปภายใน ไฮบริด และไฟฟ้า และเมื่อเร็วๆ นี้ BMW กับ Jaguar Land Rover แถลงข่าวยืนยันที่จะร่วมกันพัฒนารถไฟฟ้าสำหรับอนาคต