เรื่องน่ารู้
วิธีป้องกัน อาการรถเหินน้ำ
การขับรถบนถนนที่แห้งในฤดูร้อน ผู้ขับขี่อาจไม่ต้องคิดอะไรมากเกี่ยวกับสภาพของยาง แต่หากเกิดพายุฝนฟ้าคะนอง หรือในฤดูร้อนที่ยาวนานแล้วฝนเพิ่งตกมาครั้งแรก ฝนที่ตกลงมาจะผสมกับคราบน้ำมัน และฝุ่นละอองที่ตกค้างอยู่บนถนน ทำให้รถลื่น และเกิด Aquaplaning หรือ Hydroplaning ที่เราเรียกกันว่า "อาการเหินน้ำ" ได้ช่วงเวลาที่มีความเสี่ยงจะเกิดอาการรถเหินน้ำ คือ 10 นาทีแรก หลังฝนตก น้ำจะผสมกับน้ำมัน และฝุ่น เกิดเป็นชั้นน้ำระหว่างพื้นถนนกับยางรถ ซึ่งทำให้ยางรถไม่สามารถยึดเกาะพื้นถนน เป็นสาเหตุให้ผู้ขับไม่สามารถควบคุมบังคับรถ หรือแม้กระทั่งเบรคได้ ทำให้รถหมุน หรือไม่ก็ลื่นไถลไปตามถนน ก่อให้เกิดอุบัติเหตุตามมา สาเหตุของปัญหานี้ เกิดจากยางไม่สามารถรีดน้ำออกจากถนนได้ หมายถึง ล้อรถไม่สามารถกำจัดน้ำออกจากทางได้รวดเร็วพอ เพื่อให้หน้ายางสัมผัสกับพื้นถนน ซึ่งยางที่มีคุณภาพดีจะสามารถกำจัดน้ำประมาณ 1 ถัง ออกจากพื้นถนนได้ทุกๆ 7 วินาที ผู้ขับจะรับรู้ได้ทันทีเมื่อเกิดการเหินน้ำ เพราะทิศทางของรถจะผิดปกติ เครื่องยนต์จะส่งเสียงดังขึ้น พวงมาลัยจะเบาขึ้น และช่วงท้ายของรถจะปัด ส่วนใหญ่ผู้ใช้รถจะตื่นตระหนกกับเหตุการณ์นี้ และสัญชาตญาณจะสั่งให้เหยียบเบรค แต่การเหยียบเบรคยิ่งจะทำให้สถานการณ์แย่ลง วิธีแก้ไข ต้องค่อยๆ ถอนคันเร่ง และประคองพวงมาลัย จนกว่าล้อรถจะจับพื้นถนนอีกครั้ง ซึ่งเมื่อเกิดเหตุแล้วก็ยากที่จะแก้ไขสถานการณ์ แม้ว่าคุณจะมีฝีมือในการขับรถเก่งขนาดไหนก็ตาม ทางที่ดีที่สุด คือ การป้องกันก่อนที่จะเกิดเหตุ 1. ควรขับรถช้าลงอย่างระมัดระวัง : โดยเฉพาะช่วงที่ฝนเริ่มตกใหม่ๆ ยิ่งมีน้ำบนพื้นถนนมากเท่าไร ก็ต้องยิ่งขับช้าเท่านั้น เพราะถ้าเราขับรถเร็วบนพื้นที่มีน้ำมากๆ จะทำให้ยางรถยนต์ไม่สามารถรีดน้ำออกจากดอกยางได้ทัน 2. หลีกเลี่ยงแอ่งน้ำขัง : คอยมองทางข้างหน้า ว่ามีแอ่งน้ำขังอยู่หรือไม่ ถ้าเห็นควรลดความเร็วลง 3. เติมลมยางให้เหมาะสม : ลมยางของรถทุกคันจะลดน้อยลงอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นควรเชคลมยางด้วยสายตาโดยการมองดูยางรถทุกเช้าก่อนออกจากบ้าน วัดและเติมลมยางอย่างน้อยเดือนละครั้ง ปกติเวลารถวิ่งด้วยความเร็ว ความร้อนที่เกิดขึ้นจะทำให้มีแรงดันลมยางที่เพิ่มขึ้น แต่เมื่อฝนตกอุณหภูมิของยางจะลดลง แรงดันลมยางก็จะลดลงน้อยกว่าการขับรถในทางธรรมดา ยางที่แรงดันลมยางอ่อนจะมีประสิทธิภาพในการรีดน้ำน้อยกว่าปกติ และเหินน้ำได้ง่ายกว่ายางรถที่มีแรงดันลมยางปกติ 4. ใช้เบรคอย่างระมัดระวัง : ถ้าเห็นแอ่งน้ำควรรีบเหยียบเบรคลดความเร็ว ไม่ควรเหยียบเบรคแรงๆ ขณะผ่านแอ่งน้ำ ในกรณีรถยนต์ที่ไม่มีเบรค ABS ผู้ขับขี่ควรเบรคอย่างระมัดระวังบนพื้นถนนเปียก ไม่ควรกดเบรคแรงๆ แบบกะทันหัน เพราะจะทำให้ล้อลอค และรถเสียการควบคุมได้ ควรค่อยๆ กดเบรคเมื่อต้องการลดความเร็ว หากรู้สึกว่าล้อจะลอคก็ปล่อยเบรค แล้วค่อยกดเบรคใหม่ 5. ตั้งสติ ไม่ตกใจ : หากเกิดอาการเหินน้ำขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ สิ่งแรกที่ควรทำ คือ ลดความเร็วลง อย่าเหยียบคันเร่ง หรือเบรคกะทันหัน เพราะจะยิ่งทำให้รถเสียการควบคุม และควรพยายามควบคุมพวงมาลัยและประคองรถไว้ จนกว่าอาการเหินน้ำจะหายไป 6. ตรวจสอบยางรถยนต์ : ถ้ายางรถยนต์ดอกยางตื้นมาก หรือเสื่อมสภาพ ก็ควรเปลี่ยนยางเส้นใหม่ เพื่อประสิทธิภาพในการยึดเกาะถนนและรีดน้ำ และเพื่อความปลอดภัยในการขับขี่ในฤดูฝน เมื่อมีดอกยางน้อยกว่า 4 มม. คุณสมบัติการยึดเกาะถนนเปียก และสมรรถะของยางจะแย่ลง ความเสี่ยงของการเกิด Aquaplaning จะเพิ่มขึ้นอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นระยะเบรคจะนานขึ้น และรถจะลื่นไถลได้ง่ายขึ้น ในการทดสอบนี้ดำเนินการโดย Tekniikan Maailma (5/2018) ยางที่สึกกร่อนดอกยางเหลือ 2.5 มม. เริ่มจะมีอาการเหินน้ำที่ความเร็ว 75 กม./ชม. ยางใหม่รุ่นที่ดีที่สุดในการทดสอบเริ่มมีอาการที่ 88 กม./ชม. ยางใหม่ยี่ห้อที่รีดน้ำได้น้อยที่สุดก็ยังทำได้ดีกว่ายางที่เสื่อมสภาพ ที่ความเร็ว 81 กม./ชม. เมื่อความเร็วในการขับขี่เพิ่มขึ้น และยางเริ่มที่จะเสื่อมสภาพ พื้นที่สัมผัสระหว่างยางกับถนนจะลดลงอย่างมาก รูปด้านล่างแสดงขนาดของพื้นที่หน้าสัมผัสของยางที่มีความลึกร่องขนาดต่างๆ เมื่อขับด้วยความเร็วที่แตกต่างกันบนถนนที่มีความหนาของน้ำ 3 มม. พื้นที่หน้าสัมผัสของยานพาหนะที่มียางสึก (ความลึกของร่องยาง 1.6 มม.) ที่ความเร็ว 125 กม./ชม. นั้นมีเพียงร้อยละ 6 เมื่อเปรียบเทียบกับรถยนต์ที่จอดอยู่กับที่ แม้ว่ายางใหม่จะไม่ได้ช่วยลดความเสี่ยงของการเหินน้ำ แต่ก็สามารถควบคุมรถได้ตราบใดที่คุณใช้ความเร็วในการขับขี่ให้เหมาะกับสภาพพื้นถนน คำแนะนำ สามารถปฏิบัติกันได้ไม่ยากเลยใช่ไหมครับ ลองกลับไปที่บ้านตรวจสอบยางรถยนต์ของคุณให้พร้อมใช้สำหรับฤดูฝนกันดูครับ cr www.nokiantyres.com
เรื่องโดย : พรเทพ คงลาภอำนวย
คอลัมน์ Online : เรื่องน่ารู้
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/online/278385