ระเบียงรถใหม่
Mercedes-Benz พร้อมรุกตลาดรถไฟฟ้าเต็มตัว กับ EQC รถยนต์อนุกรมใหม่ ผลิตและพร้อมจำหน่ายกลางปีหน้า
Mercedes-Benz เปิดตัวแนวคิด EQ รถไฟฟ้าล้วน ในงานมหกรรมยานยนต์ปารีส เมื่อ 2 ปีก่อน มันเป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของผู้ผลิตรถยนต์ ที่บุกเบิกเครื่องยนต์สันดาปภายใน มากว่า 130 ปี โดยปฏิบัติการครั้งนี้ ค่าย “ดาว 3 แฉก” ตัดสินใจลงทุนอีก 4 แสนล้านบาท เพื่อขยายไลน์การผลิตรถไฟฟ้าในอนาคต และอีก 4 หมื่นล้านบาท เพื่อรองรับการผลิตแบทเตอรีล่าสุด ประกาศพร้อมรุกตลาดรถไฟฟ้าเต็มตัว ตั้งชื่ออนุกรมใหม่นี้ว่า EQC ผลิตและพร้อมจำหน่ายกลางปีหน้า (2019) นับเป็นรถที่ใช้ไฟฟ้าล้วนรุ่นแรกภายใต้ยี่ห้อ EQ ที่มีคุณภาพ มาตรฐานความปลอดภัย และความหรูหรา ระดับเดียวกับ เมร์เซเดส-เบนซ์ EQC เป็นรถกิจกรรมกลางแจ้ง (SUV) สัดส่วนตัวถังใกล้เคียง GLC และ GLC Coupe แตกต่างตรงที่เป็นรถไฟฟ้า ที่เขาตั้งใจออกแบบขึ้นใหม่ทั้งคัน เอกลักษณ์ภายนอกเห็นได้ชัดยามค่ำคืน ด้วยเส้นสายของไฟส่องสว่างเวลากลางวัน คาดยาวอยู่เหนือไฟหน้า มีไฟเรืองแสงบริเวณโลโกดาว 3 แฉก และด้านท้ายมีไฟเบรคคาดยาว ภายในออกแบบทันสมัย แผงควบคุมหันเข้าหาคนขับ ช่องแอร์เลือกใช้สีโรสโกลด์ หนึ่งในแรงบันดาลใจ ผู้ออกแบบบอกว่าได้จาก ด้านหลังของแผงวงจรอีเลคทรอนิค ระบบขับเคลื่อนใหม่นี้มีขนาดเล็กลง มีมอเตอร์ขับเคลื่อน 2 ตัว ตัวหนึ่งขับล้อคู่หน้า ส่วนอีกตัวขับล้อคู่หลัง โดยระบบขับเคลื่อนล้อคู่หน้าจะถูกใช้งานเพื่อการออกตัว และการขับขี่ทั่วไปความเร็วปานกลาง และเน้นการประหยัดพลังงาน ขณะที่ระบบขับเคลื่อนล้อคู่หลัง จะถูกเสริมเข้ามาเมื่อต้องการพละกำลัง และการขับขี่แบบเน้นสมรรถนะ รวมกำลังทั้งหมดจากมอเตอร์ทั้ง 2 ตัว ได้ 408 แรงม้า (หรือ 300 กิโลวัตต์) แรงบิดสูงสุด 78.0 กก.-ม. ! อัตราสิ้นเปลืองพลังงานไฟฟ้าทำได้ 22.2 กิโลวัตต์ชั่วโมง/100 กม. รัศมีทำการเมื่อชาร์จแบทเตอรีเต็มเป็นระยะทางกว่า 450 กม. อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ทำได้ใน 5.1 วินาที ความเร็วสูงสุด 180 กม./ชม. (จำกัดโดยผู้ผลิต) น้ำหนักรถ 2,930 กก. (รวมน้ำหนักแบทเตอรี 650 กก.) ความน่าสนใจอีกอย่างของรถไฟฟ้า คือ ความเงียบของห้องโดยสารขณะวิ่ง วิศวกรทำงานง่ายขึ้นเนื่องจากมีเพียงเสียงของมอเตอร์ที่ปั่นสูงถึง 13,000 รตน. เป็นอุปสรรคหลักอย่างเดียวที่ต้องเอาชนะ ส่วนชุดแบทเตอรีลิเธียม-ไอออน ที่มีความจุ 80 กิโลวัตต์ชั่วโมง ถูกติดตั้งประกบแยกจากโครงสร้างตัวถังด้วยแผ่นยางรอง 2 ชั้น บุคลิกรถไฟฟ้าคันนี้ หลากหลายด้วยโหมดการขับขี่ที่มีให้เลือก 5 แบบ ได้แก่ Comfort, Eco, Max range, Sport และ Individual (ปรับตั้งเอง) ในโหมด Eco แป้นเหยียบจะเตือนพฤติกรรมผู้ขับขี่ด้วยการกระตุกสั่นเบาๆ (คล้ายกับการกระตุกสั่นของโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ๆ) และคนขับสามารถเลือกระดับการหน่วงความเร็วผ่านแป้นปรับหลังพวงมาลัย (คล้ายๆ แพดเดิล ชิฟท์) เพื่อเพิ่มแรงปั่นไฟฟ้ากลับเข้าไปเก็บในแบทเตอรี มีถึง 5 ระดับ โดยระดับที่หน่วงสูงสุด อาจไม่จำเป็นต้องแตะเบรคเลย เพราะทันทีที่ถอนเท้าจากคันเร่ง แรงหน่วงจะมากพอที่ชะลอรถจนเกือบหยุด เพื่อให้ประสิทธิภาพของแบทเตอรีทำหน้าที่ได้ดีในสภาพอากาศต่างๆ จำเป็นต้องมีระบบควบคุมอุณหภูมิอัตโนมัติ นอกจากนั้นยังมีระบบระบายความร้อนด้วยน้ำ (OBC: Water-Cooled Onboard Charger) กำลัง 7.4 กิโลวัตต์ เพื่อรองรับการชาร์จที่บ้าน และนอกสถานที่ กำลังไฟฟ้าขณะชาร์จเข้า ทำได้สูงสุด 110 กิโลวัตต์ โดยสามารถชาร์จแบทเตอรีจาก 10 % จนเกือบเต็มที่ 80 % ภายในเวลาไม่ถึง 1 ชม. (แค่ประมาณ 40 นาที) ในแง่ของระบบความบันเทิง มีระบบ MBUX (Mercedes-Benz User Experience) แสดงผลบนจอภาพขนาดใหญ่ด้านข้าง ควบคุมได้ด้วยการสัมผัสบนหน้าจอ บนพวงมาลัย หรือที่แป้นควบคุม (คล้ายๆ เมาส์แพดบนคอมพิวเตอร์โนทบุค) หน้าจอนี้แสดงผล ระยะทางวิ่งที่เหลือ สถานะการชาร์จ การไหลเวียนของแหล่งพลังงาน สัดส่วนของการใช้พลังงาน แม้กระทั่งเวลาพร้อมออกเดินทาง โดยจะแจ้งเตือนไปยังโทรศัพท์มือถือ หากมีการระบุเป้าหมายของการเดินทางไว้ล่วงหน้า ระบบจะคำนวณระยะทาง การจราจร เวลาที่ใช้ สถานที่หากต้องแวะพักเติมไฟระหว่างทาง แล้วคิดคำนวณกับปริมาณแบทเตอรีคงเหลือ เพื่อแจ้งเวลาพร้อมออกเดินทางเมื่อสถานะแบทเตอรีพร้อมใช้งาน ระบบสั่งงานด้วยเสียง เป็นมิตรมากกว่าเดิม โดยสามารถสื่อสารด้วยภาษาพูดของมนุษย์ได้ ยิ่งไปกว่านั้นหากมีคำสั่งให้ปรับอุณหภูมิห้องโดยสาร ระบบจะตรวจจับตำแหน่งคนสั่งการเพื่อความแม่นยำในการปรับอุณหภูมิให้กับผู้โดยสารที่สั่งงาน ส่วนแอพพลิเคชัน Me รองรับการสั่งงาน เพื่อเปิดแอร์ล่วงหน้าก่อนเข้ารถได้ นอกจากนี้ยังมีการออกแบบระบบความปลอดภัยเชิงป้องกันและเชิงแก้ไข ขึ้นเป็นพิเศษสำหรับรถไฟฟ้า เพิ่มความละเอียดแม่นยำ สูงกว่ามาตรฐานที่กำหนดในรถยนต์ปัจจุบัน ระบบช่วยเหลือการขับขี่ รุ่นล่าสุดนี้ มีความฉลาดขึ้นอีกขั้น เช่น ระบบปรับตั้งความเร็วตามคันหน้าอัตโนมัติ (Distronic) มีการประมวลผลข้อมูลจราจรเพิ่มเติม หากพบการจราจรหนาแน่นอยู่บนถนนข้างหน้า ระบบจะปรับลดความเร็วลงก่อนจะถึงท้ายแถว และเมื่อรถวิ่งเข้าสู่ท้ายขบวน จะบังคับให้รถขยับชิดด้านข้างช่องจราจร แทนที่จะวิ่งกลางเลน เพื่อเว้นระยะให้รถฉุกเฉินวิ่งผ่านได้กรณีเกิดเหตุสุดวิสัย ด้านหน้ามีโครงสร้างพิเศษเสริมความแข็งแรงรอบชุดส่งกำลัง และมีการติดตั้งชุดแบทเตอรีแยกชั้นไว้ใต้พื้นตัวถัง สามารถดูดซับแรงกระแทกได้อย่างมีประสิทธิภาพเมื่อเกิดอุบัติเหตุจากด้านข้าง ระบบป้องกันไฟฟ้าลัดวงจร ทำงานทันทีเมื่อรถเกิดอุบัติเหตุ ขั้นตอนแรก คือ ตัดกระแสไฟฟ้าทั้งหมด และเมื่อระบบตรวจสอบว่าสภาพแวดล้อมกลับมาอยู่ในสภาวะปกติ จะกลับมาทำงานอีกครั้ง มีจุดสำหรับตัดกำลังไฟฟ้าชัดเจน หากหน่วยกู้ภัยเข้าช่วยเหลือเพื่อความปลอดภัย รวมถึงข้อมูลแสดงจุดยึด จุดตัด ที่จำเป็นในการกู้ภัย ผ่านการสแกน QR Code บนตัวถังรถได้อีกด้วย เมื่อผู้ผลิตรถยนต์ที่มีอายุอานามกว่า 130 ปี หันมาทำรถไฟฟ้า จึงไม่ใช่แค่การนับหนึ่ง แต่นั่นหมายถึงการเอาประสบการณ์ องค์ความรู้ที่ถ่ายทอดมาต่อยอด ทำให้รถในอนาคตมีความสะดวก ปลอดภัย และขับสนุกยิ่งขึ้น
งานนี้ผมว่า มาช้าแต่มาชัวร์ ดีกว่า
เรื่องโดย : ชลัทชัย ปภัสร์พงษ์ formula@imc.co.th
ภาพโดย : ชลัทชัย ปภัสร์พงษ์ formula@imc.co.th
คอลัมน์ Online : ระเบียงรถใหม่ (บก. ออนไลน์)
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/online/239921