ธุรกิจ
ฟอร์ด รณรงค์สร้างจิตสำนึก "ไม่ใช้โทรศัพท์ขณะขับขี่"

พฤติกรรมติดโทรศัพท์มือถือ
ไม่น่าแปลกใจที่ผู้ตอบแบบสำรวจทุกกลุ่มต่างตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า “โทรศัพท์มือถือ” เป็นสิ่งที่ทำให้เสียสมาธิระหว่างการขับรถได้มากที่สุด ตามด้วยสิ่งรบกวนอื่นๆ เช่น ผู้โดยสารในรถ การสูบบุหรี่ และการแต่งหน้า แม้ผู้ขับขี่ชาวไทยจำนวน 38 % ระบุว่า พวกเขาพยายามที่จะไม่ใช้โทรศัพท์มือถือขณะขับรถ แต่สุดท้ายพวกเขาก็ยังหยิบขึ้นมาใช้อยู่ดี
ผู้ตอบแบบสอบถามที่ใช้โทรศัพท์ระหว่างขับรถนั้น ต่างให้เหตุผลยอดนิยมว่า เพราะการจราจรติดขัด หรือรถติดไฟแดง (คิดเป็น 73 %) รับสายจากเพื่อนหรือครอบครัว (63 %) และรับสายเรื่องงาน หรือส่งอี-เมล (55 %) นอกจากนี้ ความเบื่อหน่ายยังถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยหลักที่ทำให้หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาใช้ คนกลุ่มมิลเลนเนียม 34 % และคนรุ่นพ่อแม่ผู้ปกครองอีก 23 % ยอมรับว่าตนใช้โทรศัพท์ขณะขับรถเพียงแค่เพราะความเบื่อหรือไม่มีอะไรจะทำ
ส่วนปัจจัยที่จะทำให้พวกเขาวางมือจากโทรศัพท์ในเวลาขับขี่ได้มากที่สุด คือ สภาพอากาศเลวร้าย (คิดเป็น 58 %) และเมื่อพบเห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ (69 %) อย่างไรก็ตาม เมื่อคำนึงถึงประเด็นความปลอดภัยของบุคคลอื่น กลับเป็นเรื่องน่ากังวลที่มีผู้ขับขี่เพียง 42 % ที่ระบุว่าจะไม่ใช้โทรศัพท์เมื่อเดินทางกับลูกหรือเด็ก ส่วนอีก 39 % จะไม่ใช้โทรศัทพ์เมื่อเข้าเขตโรงเรียน และอีกเพียง 14 % เมื่อมีสามีหรือภรรยาอยู่ในรถด้วย
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าผู้ตอบแบบสำรวจจะยอมรับว่ามีเหตุการณ์หลายครั้งหลายคราที่อาจทำให้พวกเขากระทำความผิดฐานขับรถโดยประมาท แต่ผู้ตอบแบบสำรวจ 75 % กลับคิดว่า โทษของการขับขี่โดยประมาทควรมีความรุนแรงกว่าที่เป็นอยู่ และอีก 90 % ต่างมีความกังวลว่าชีวิตของพวกเขาจะได้รับผลกระทบโดยตรงจากการขับขี่ที่ประมาทขาดสมาธินี้
การลงทุนในเทคโนโลยี และโครงการที่ช่วยลดการเสียสมาธิของผู้ขับขี่
ฟอร์ด ได้พัฒนาเทคโนโลยีทันสมัยที่จะช่วยลดความประมาท และการเสียสมาธิจากการใช้โทรศัพท์มือถือ อย่าง ซิงค์ 3 ซึ่งเป็นระบบเชื่อมต่ออัจฉริยะที่ผู้ขับขี่สามารถสั่งงานด้วยเสียงเพื่อโทรออก รับข้อความ ฟังเพลงและใช้งานแอพพลิเคชันต่างๆ ได้โดยไม่ต้องละสายตาจากถนน และไม่ต้องปล่อยมือจากพวงมาลัย
ปัจจุบันโครงการ Ford Driving Skills for Life ได้ดำเนินการมาเป็นปีที่ 10 แล้ว โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อการอบรมให้ความรู้ด้านการขับขี่ปลอดภัยโดยไม่มีค่าใช้จ่ายให้แก่ผู้ขับขี่ทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค ไม่ว่าจะเป็น วัยรุ่น หญิงมีครรภ์ คนขับแทกซี และเกษตรกร และในปีนี้ โครงการได้ขยายกิจกรรมครอบคลุม 11 ประเทศในเอเชีย จาก 9 ประเทศในปี 2559 และจะมุ่งเน้นเนื้อหาเกี่ยวกับการขับขี่ที่ประมาทหรือขาดสมาธิ สำหรับในประเทศไทย มีผู้เข้ารับการอบรมกับโครงการ “ฉลาดขับ ประหยัด ปลอดภัย” หรือ DSFL นี้แล้วกว่า 10,000 คน นับตั้งแต่ปี 2550 เป็นต้นมา
“วันนี้ ผู้คนต้องการเชื่อมต่อกับครอบครัว เพื่อนฝูง และเพื่อนร่วมงาน อยู่ตลอดเวลา แม้ในขณะที่พวกเขากำลังเดินทาง” ณรงค์กล่าว “สิ่งนี้จึงเป็นที่มาของเทคโนโลยีที่ช่วยลดการไขว้เขวหรือเสียสมาธิในระหว่างขับขี่ได้ และเป็นอีกเหตุผลที่ ฟอร์ด สนับสนุนและส่งเสริมพฤติกรรมการขับขี่อย่างรับผิดชอบต่อส่วนรวม เพื่อให้ท้องถนนเป็นที่ที่ปลอดภัยยิ่งขึ้นสำหรับทุกคน” 

