ธุรกิจ
Motor Expo จัดเสวนา “ประเทศไทยพร้อมก้าวสู่ยุคยานยนต์ไฟฟ้าแล้วหรือยัง ?”
บริษัท สื่อสากล จำกัด ผู้จัดงาน “มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 33” จัดสัมมนาภายใต้โครงการ “Motor Expo Professional Seminar หัวข้อ “ประเทศไทยพร้อมก้าวสู่ยุคยานยนต์ไฟฟ้าแล้วหรือยัง ?” โดยมีวิทยากรภาครัฐและเอกชนแลกเปลี่ยนความคิดเห็น
ณัฐพล รังสิตพล ผู้ตรวจราชการ กระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า ปัจจุบันไทยเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่อันดับ 12 ของโลก แต่ในจำนวนนี้เป็นประเทศที่ 4 ที่ไม่มีสินค้ารถยนต์เป็นของตนเอง ดังนั้น จึงต้องสร้างความแข็งแกร่ง เพื่อสร้างความยั่งยืน ทั้งตลาดในประเทศ และส่งออก ซึ่งที่ผ่านมาไทยประสบความสำเร็จทั้งการสร้างรถพิคอัพ และอีโค คาร์
ขณะที่รถพลังงานไฟฟ้า หรือ BEV (Battery Electric Vehicle) ซึ่งเป็นกระแสที่ทั่วโลกกำลังให้ความสำคัญ เห็นได้จากผู้ผลิตรถยนต์ทุกยี่ห้อกำลังเคลื่อนไหวในเรื่องนี้ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นรถทั่วไป หรือแม้แต่ซูเพอร์คาร์ อย่าง แฟร์รารี ซึ่งไทยก็จะต้องเดินไปในเส้นทางนี้ด้วยเช่นกัน
ที่ผ่านมาไทยต้องการที่จะส่งเสริมอุตสาหกรรม BEV เช่นกัน โดยทั้งหน่วยงานรัฐ และนายกรัฐมนตรี ต่างก็พูดถึงเรื่องนี้อย่างชัดเจน ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่ดีในการส่งสัญญาณให้โลกรับรู้ว่าไทยมีแนวทางส่งเสริมอุตสาหกรรมนี้
อย่างไรก็ตามเห็นว่าไทยจะต้องรีบดำเนินการเรื่องนี้ เนื่องจากเชื่อว่าแหล่งผลิตในประเทศอื่นๆ ต้องการที่จะมีฐานการผลิต BEV เช่นกัน โดยการจะผลักดันให้ BEV เกิดขึ้น และได้รับความสนใจจากนักลงทุน จะต้องกำหนดกรอบการส่งเสริมที่ชัดเจนและดึงดูดเพียงพอ ซึ่งเห็นว่าการใช้เงื่อนไขทางด้านภาษีอย่างเดียวไม่เพียงพอ อีกทั้งโครงกสร้างภาษีสรรพสามิตใหม่เพิ่งบังคับใช้ช่วงต้นปีที่ผ่านมาเท่านั้น จึงไม่ควรจะไปยุ่งกรอบภาษี แต่ควรหามาตรการส่งเสริมด้านอื่นๆ เพื่อผลักดันให้เกิดการใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นสิทธิพิเศษด้านต่างๆ ซึ่งเป็นแนวทางที่เคยประสบความสำเร็จมาแล้วกับรถอื่นๆ เช่น รถพิคอัพ
“หลายคนอาจมองว่ารถพิคอัพสำเร็จได้เพราะภาษี แต่จริงๆ แล้ว ไม่ใช่ วันนี้ถ้าตัดเรื่องภาษีออกไป พิคอัพก็ยังอยู่ได้ แต่สิ่งที่จะทำให้อยู่ไม่ได้ คือ สิทธิพิเศษในการใช้งาน เช่น ใช้งานได้เหมือนรถเก๋ง ผู้โดยสารนั่งกระบะหลังได้ นั่งในแคบได้ ซึ่งในหลายประเทศทำไม่ได้”
การเสริมรถ BEV นั้นควรมี 3 กลุ่มหลัก คือ 1. รถเดิมที่พัฒนาขึ้นเป็นรถพลังงานไฟฟ้า 2. รถพลังงานไฟฟ้ารุ่นใหม่ๆ โดยดึงนักลงทุนเข้ามาผลิตในประเทศ และ 3. กลุ่มรถบัสโดยสาร รถใช้งานเฉพาะ เช่น รถท่องเที่ยว รถสามล้อ ซึ่งกลุ่มนี้จะเป็นการให้โอกาสกับกลุ่มธุรกิจของไทยที่สามารถพัฒนาได้
ทั้งนี้ในส่วนที่ 2 หรือการลงทุนผลิตรถ BEV จะต้องดึงกลุ่ม พลัก-อิน ไฮบริด (PHEV) เข้ามาร่วมด้วย เพราะรถทั้ง 2 กลุ่ม ใช้ชิ้นส่วนสำคัญพื้นฐานร่วมกัน เช่น แบทเตอรี มอเตอร์ไฟฟ้า ซึ่งจะช่วยทำให้การเติบโตเร็วขึ้น แต่ทั้งนี้ PHEV จะต้องได้สิทธิประโยชน์ที่น้อยกว่า BEV
ธนวัฒน์ คุ้มสิน นายกสมาคมยานยนต์ไทย กล่าวว่า การเข้าร่วมประชุม OICA General Assembly ล่าสุดที่รัสเซีย พบว่าผู้บริหารค่ายรถหลายค่ายมีความคิดเห็นเหมือนกันว่า แม้ BEV จะเป็นกระแสใหม่ของโลก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ารถประเภทนี้จะเหมาะสมกับทุกประเทศ ต้องขึ้นอยู่กับความพร้อมในด้านต่างๆ ของแต่ละประเทศ และที่สำคัญการจะผลักดันให้เกิดขึ้นได้จะต้องมีมาตรการส่งเสริมที่เข้มข้นอย่างมาก
“อย่างสหรัฐซึ่งก็มีการส่งเสริม BEV แต่ว่าตอนนี้เขาก็ผลักดันเอธานอลอย่างเข้มข้นมากขึ้น มีเป้าหมายจะเพิ่มการใช้จาก อี 10 (น้ำมันเบนซินผสมเอธานอล 10 %) เป็น อี 30 ในอนาคต ซึ่งก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจว่าเขาก็ยังเห็นความสำคัญกับเชื้อเพลิงเดิม”
นอกจากนี้ค่ายรถต่างๆ มองว่า การพัฒนาอุตสาหกรรม ไม่จำเป็นจะต้องมุ่งไปที่เรื่องของพลังงานเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังมีอีกหลายเรื่องที่ควรทำ เช่น ระบบความปลอดภัย หรือว่าสิ่งแวดล้อม
ทั้งนี้รัฐจะส่งเสริม BEV อย่างไรนั้น ควรจะต้องศึกษารายละเอียดต่างๆ ให้รอบด้าน ถึงความเหมาะสมของตลาด รวมถึงผลกระทบต่างๆ เช่น อุตสาหกรรมในปัจจุบันที่มีส่วนสำคัญต่อเศรษฐกิจ เห็นได้จากปีที่ผ่านมาเราส่งออกสินค้ากลุ่มยานยนต์กว่า 8.63 แสนล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะรัฐจะส่งเสริมแนวทางใด จะต้องกำหนดให้ชัดเจนเพื่อให้เอกชนรู้ว่าจะไปในทิศทางใดกันแน่ จะได้เตรียมความพร้อมได้ถูกทาง นอกจากนี้ประเทศก็ควรจะเตรียมความพร้อมในส่วนอื่นๆ ควบคู่ไปด้วย เช่น ศูนย์ทดสอบยานยนต์ ที่ควรจะเร่งจัดตั้งให้เร็วที่สุด
สุพจน์ สุขพิศาล รองเลขาธิการสมาคมผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไทย กล่าวว่า การส่งเสริม BEV ควรจะต้องคำนึงถึงผลกระทบกับอุตสาหกรรมในปัจจุบันด้วย เพราะ BEV จะลดการใช้ชิ้นส่วนลงจำนวนมากจากเฉลี่ย 3 หมื่นชิ้นในรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE) เหลือประมาณ 1,500 ชิ้น ใน BEV ซึ่งชิ้นส่วนที่จะได้รับผลกระทบหลัก คือ เครื่องยนต์ ระบบหล่อเย็น ระบบไอเสีย ระบบส่งกำลัง ระบบเบรค เป็นต้น
ทั้งนี้จากการรวบรวมข้อมูลอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยในปัจจุบัน มีโรงงานผลิตรถยนต์ 23 โรงงาน จาก 18 บริษัท มีผู้ผลิตชิ้นส่วนระดับ เทียร์ 1 จำนวน 386 บริษัท เทียร์ 2 และ 3 อีก 1,700 บริษัท และหากรวมรายย่อยอื่นๆ จะมีประมาณ 2,500 บริษัท มีบุคลากรประมาณ 7 แสนคน
ในจำนวนนี้จะมีผู้ที่ได้รับผลกระทบจาก BEV 816 บริษัท พนักงาน 3 แสนคน แบ่งเป็นเกี่ยวกับเครื่องยนต์ 418 บริษัท ระบบส่งกำลัง 136 บริษัท ระบบเบรค 140 บริษัท และอีก 22 ราย เกี่ยวข้องกับการบริการ และน้ำมันเครื่อง
“เราคงไม่สามารถคัดค้านนโยบาย แต่ว่าการประชุมร่วมกันของผู้ผลิตชิ้นส่วน เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา ก็มีข้อเสนอ 5 ประเด็น ที่อยากให้รัฐพิจารณา”
ทั้ง 5 ประเด็นได้แก่ 1. ให้ศึกษาผลกระทบกับผู้ผลิตชิ้นส่วนและบุคลากร 2. ผลกระทบกับความมั่นใจของนักลงทุนในปัจจุบัน ซึ่งมีหลายบริษัทที่มีแผนลงทุนในเฟสต่อๆไป อาจจะไม่มีความมั่นใจการลงทุน 3. ความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐาน BEV 4. ผลกระทบกับการส่งเสริมอื่นๆ ก่อนหน้านี้ เช่น ไบโอดีเซล เอธานอล และ 5. แนวทางการกำจัดขยะอีเลคทรอนิคส์
ยศพล ลออนวล นายกสมาคมยานยนต์ไฟฟ้า กล่าวว่า ปัจจุบันมีทั้งผู้ที่เห็นด้วยและคัดค้าน BEV ซึ่งจะต้องเร่งสร้างความเข้าใจ รวมทั้งชี้ให้เห็นว่า แม้ BEV จะเข้ามา แต่ก็จะเติบโตอย่างช้าๆ และมีเวลาให้ผู้ผลิตปัจจุบันปรับตัว
นอกจากนี้ยังมีอุปสรรคที่สำคัญอีกประการ คือ เทคโนโลยีของแต่ละค่ายที่ไม่เหมือนกัน เช่น ระบบชาร์จ ซึ่งมีหลายมาตรฐานที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน ทั้งในญี่ปุ่น จีน ยุโรป หรือสหรัฐอเมริกา ซึ่งภาครัฐของไทยยังไม่ระบุว่าจะใช้มาตรฐานใด
อย่างไรก็ตามเห็นว่ารถไฟฟ้าจะต้องเดินหน้าต่อไปตามทิศทางของโลก และในอนาคตอุปสรรคหลายอย่างจะลดลง เช่น ต้นทุนของชิ้นส่วนหลัก คือ แบทเตอรี ที่ในอดีตราคาสูงมาก ก็ลดลงในขณะนี้และเชื่อว่าช่วงปี 2563-2568 ต้นทุนอาจลดลงมาใกล้เคียงกับรถสันดาปภายใน ซึ่งถึงเวลาดังกล่าว แม้ไม่มีการส่งเสริมจากภาครัฐ BEV ก็อาจอยู่ได้ด้วยตนเอง
ทั้งนี้สมาคมตัองการเห็นแนวทางการส่งเสริมที่ชัดเจนเกิดขึ้นโดยเร็ว ซึ่งหากมาตรการส่งเสริมนำเข้าที่ประชุมสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ BOI ในเดือนนี้ได้ ก็น่าจะได้เห็นรายละเอียดของมาตรการภายในปีนี้
อรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ หน่วยธุรกิจน้ำมัน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แม้ ปตท. จะเป็นผู้ผลิตน้ำมัน แต่ก็เห็นความสำคัญของเทคโนโลยีใหม่ อย่าง BEV จึงต้องเตรียมความพร้อมเช่นกัน โดยเฉพาะการศึกษาเรื่องของระบบชาร์จไฟ โดยศูนย์วิจัยที่วังน้อย และขณะนี้ประสบความสเร็จในการออกแบบระบบดังกล่าว โดยมีต้นทุนที่แข่งขันกับตลาดได้ และจะดำเนินการผลิตในอนาคต
ทั้งนี้ยังได้ติดตั้งระบบชาร์จในสถานีบริการต่างๆ เพื่อศึกษาตลาด โดยเบื้องต้นตั้งเป้ารวม 20 สถานี
ยุทธพงษ์ ภาษี นายกสมาคมผู้สื่อข่าวรถยนต์และรถจักรยานยนต์ไทย กล่าวว่า ในฐานะตัวแทนของสื่อมวลชนจะทำหน้าที่เผยแพร่ข่าวสารในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์ไฟฟ้าให้ผู้บริโภคมีความเข้าใจว่ารถไฟฟ้าไม่ได้มาทดแทนรถยนต์ เพราะถ้าไม่สร้างความเข้าใจจะเกิดความกังวล และการคัดค้านเรื่องความไม่ชัดเจน ซึ่งสื่อมวลชนจะเป็นสื่อที่จะหาความจริง ที่เหมาะสม ถูกต้อง นำเสนอ และช่วยกันสร้างความเข้าใจ
เรื่องโดย : นุสรา เงินเจริญ
ภาพโดย : ฝ่ายภาพ
คอลัมน์ Online : ธุรกิจ (บก. ออนไลน์)
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/online/151537