บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด จัดกิจกรรมทดลองขับ MITSUBISHI OUTLANDER PHEV แบบวันเดย์ทริพรอบกรุงเทพฯ ระยะทาง กว่า 200 กม.
MITSUBISHI OUTLANDER PHEV (มิตซูบิชิ เอาท์แลนเดอร์ พีเอชอีวี) เป็นรถยนต์ครอสสโอเวอร์ เอสยูวีอเนกประสงค์ 5 ที่นั่ง แบบพลัก-อิน ไฮบริด ขับเคลื่อน 4 ล้อ หน้าตาภายนอกปรับโฉมจากปี 2018 โดยเพิ่มตัวอักษร OUTLANDER ที่ฝากระโปรงหน้า ไฟหน้าแอลอีดี เฉียบคมขึ้น มาพร้อมไฟหรี่แอลอีดี กระจังหน้าตามสไตล์แบบไดนามิคชีลด์ ไฟท้ายแอลอีดีขนาดใหญ่ เสริมหล่อด้วยสปอยเลอร์หลัง พร้อมไฟเบรคดวงที่ 3 แบบแอลอีดี และเสาอากาศแบบครีบฉลาม
ภายในใช้โทนสีดำตัดกับลายเคฟลาร์ และคิ้วโครเมียม พวงมาลัยแบบ 4 ก้าน มีฟังค์ชันการใช้งานครบครัน พร้อมแพดเดิล ชิฟท์ด้านหลังพวงมาลัย เอาไว้ปรับความหน่วงมอเตอร์ไฟฟ้า นอกจากนี้ ยังมีปุ่มเลือกโหมด SAVE CHARGE และ EV ปุ่มเกียร์ P แยกออกมา รวมถึงระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ที่มีปุ่ม TWIN MOTOR 4WD ให้เลือกใช้งาน และในห้องโดยสารตอนหลัง มาพร้อมช่องจ่ายไฟ AC 1,500 วัตต์ แบบปลั๊ก 3 ขา อีกด้วย
ขุมพลังเบนซิน รหัส 4B12 ขนาด 2.4 ลิตร 128 แรงม้า ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว ตัวแรกทำหน้าที่ขับเคลื่อนล้อคู่หน้าขนาด 82 แรงม้า และตัวที่ 2 ขนาด 95 แรงม้า ทำหน้าที่ขับเคลื่อนล้อคู่หลัง ให้กำลังสูงสุดรวม 305 แรงม้า พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ S-AWC (SUPER–ALL WHEEL CONTROL) และมีแบทเตอรีลิเธียม-ไอออน ความจุ 13.8 กิโลวัตต์ชั่วโมง เป็นแหล่งเก็บพลังงาน สามารถขับเคลื่อนรถในโหมดไฟฟ้า (EV) ได้ถึง 55 กม. ด้วยความเร็วสูงสุดถึง 135 กม./ชม. ส่วนอัตราสิ้นเปลืองยังไม่ได้ทดสอบอย่างชัดเจน แต่ทางโรงงานเคลมไว้ถึง 52.6 กม./ลิตร หรือ 1.9 ลิตร/100 กม. ตามมาตรฐาน NEDC
ระบบความปลอดภัยครบครัน อาทิ สัญญาณเตือนขณะถอยจากช่องจอด (RCTA) เตือนการชนด้านหน้าพร้อมชะลอความเร็ว (FCM) เตือนจุดอับสายตา (BSW) เตือนขณะเปลี่ยนเลน (LCA) ระบบไฟสูงอัตโนมัติ (AHB) ระบบลอคความเร็วแบบแปรผัน (ACC)
ในการทดลองขับครั้งนี้เป็นแบบวันเดย์ทริพรอบกรุงเทพฯ ระยะทางกว่า 200 กม. แบ่งเป็น 5 ช่วง
ช่วงที่ 1 “ทดสอบกำลังไฟ 1,500 วัตต์” โดยให้รับประทานอาหารเช้าจากเตาปิ้งย่างไฟฟ้า ซึ่งใช้ไฟกระแสสลับ (AC) 220 โวลท์ 1,500 วัตต์ จากรถ MITSUBISHI OUTLANDER PHEV ซึ่งใช้งานได้จริง
ช่วงที่ 2 “ทดสอบโหมด EV” ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า 100 % ระยะทาง 53 กม. ซึ่งถ้าขับแบบปกติ สามารถใช้งานได้ถึง 55 กม. จริง ในความเร็วสูงสุดไม่เกิน 135 กม./ชม.
ช่วงที่ 3 “ลองระบบไฮบริด ขณะแบทเตอรีใกล้หมด” ระยะทาง 68 กม. โดยโหมด SERIES HYBRID เน้นขับเคลื่อนรถด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าเป็นหลัก โดยมีเครื่องยนต์ทำหน้าที่ผลิตกระแสไฟให้แก่มอเตอร์ไฟฟ้า และโหมด PARALLEL HYBRID เครื่องยนต์ และมอเตอร์ไฟฟ้าจะทำหน้าที่ขับเคลื่อนรถไปพร้อมกัน โดยส่วนมากจะเกิดขึ้นในระยะสั้นๆ ช่วงที่ต้องการกำลังสูงสุด และทั้ง 2 โหมด เมื่อเราเบรค หรือถอนคันเร่ง ระบบรีเจเนอเรทีฟ จะทำงานผลิตกระแสไฟฟ้าจ่าย คืนเข้าแบทเตอรีอีกทางหนึ่งด้วย
ช่วงที่ 4 “ทดลองโหมด ชาร์จ” ระยะทาง 74 กม. ระบบนี้จะเปลี่ยนระบบขับเคลื่อนจากมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว มาเป็นเครื่องยนต์ขับ-เคลื่อนที่ล้อคู่หน้าแทน โดยสั่งการให้เจเนอเรเตอร์จากเครื่องยนต์ ผลิตกระแสไฟฟ้าเพื่อชาร์จไฟกลับเข้าแบทเตอรีไปพร้อมกัน จนกว่าแบทเตอรีจะ “เกือบเต็ม” ประมาณ 80-90 % ในขณะขับขี่
ช่วงที่ 5 “ทดสอบระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ (S-AWC) ในทางฝุ่น” เราทดสอบด้วยโหมดการขับ 3 โหมด ได้แก่ NORMAL (ระบบกระจายแรงบิดแต่ละล้อตามสภาพถนน) SPORT (เน้นอัตราเร่ง และการแปรผันที่ให้กำลังสูงสุด) และ ROCK (เน้นอัตราทดที่ล้อหน้า และล้อหลังแบบ 50:50) ระบบทำงานผสานกับระบบช่วยเหลือต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว แม้จะพยายามทำให้รถเสียอาการแค่ไหนก็ตาม รถก็จะกลับมาอยู่ในสภาวะที่ควบคุมได้
สรุปแล้วเป็นรถที่น่าสนใจเกินคาด เครื่อง-ยนต์ทำงานคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้าได้อย่างราบรื่น ให้อัตราเร่งที่รวดเร็ว สามารถปรับโหมดการทำงานระหว่างเครื่องยนต์กับมอเตอร์ไฟฟ้าได้หลากหลาย นำไฟจากรถไปใช้ภายนอกได้ถึง 1,500 วัตต์ ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ไว้ใจได้ ห้องโดยสารเงียบ ช่วงล่างนุ่มนวล กับราคาตัวทอพที่ 1,749,000 บาท หากดูจากสิ่งที่ให้มาแล้ว ถือว่าคุ้มค่าไม่น้อย
“ไฮบริดเด่น มีโหมดปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงานของระบบไฮบริดได้หลากหลาย สามารถนำไฟในรถไปใช้ได้ถึง 1,500 วัตต์”