บริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด จัดทริพทดลองขับ NISSAN KICKS E-POWER (นิสสัน คิคส์ อี-เพาเวอร์) ตามการใช้งานจริงเต็มรูปแบบด้วยระยะทางกว่า 450 กม. โดยใช้เส้นทางจากกรุงเทพฯ-กาญจนบุรี
NISSAN KICKS E-POWER เป็นคอมแพคท์ เอสยูวีที่ชูจุดขายหลัก 3 หัวข้อ คือ หน้าตาภายนอกที่ดูโฉบเฉี่ยว, เทคโนโลยี E-POWER และระบบความปลอดภัยต่างๆ เป็นต้น เรามาดูกันครับว่า จากการขับจริง ใช้จริง NISSAN KICKS E-POWER จะตอบโจทย์ตามต้องการของผู้บริโภคชาวไทยได้มากน้อยแค่ไหน
จุดขายแรก คือ การออกแบบภายนอก และมิติตัวรถ มีจุดเด่นที่เร้าใจมาก การออกแบบสะท้อน DNA ความสปอร์ทของ NISSAN กระจังหน้าแบบ V-MOTION ไฟหน้า และไฟท้ายแบบแอลอีดี ทรงบูเมอแรง หลังคาแบบลอยตัว (FLOATING ROOF LINE) เพิ่มความโดดเด่นด้วยหลังคาสีทูโทน นอกจากนี้ ยังมีการออกแบบความปลอดภัย และความแกร่งบนพื้นฐาน ZONE BODY CONCEPT ที่มีการดูดซับแรงกระแทก และทำให้ตัวรถมีความแข็งแกร่ง
ภายในห้องโดยสาร แผงคอนโซลหน้าดูเรียบ เท่ มีการเลือกใช้วัสดุหนังสังเคราะห์แบบนุ่มเดินตะเข็บด้าย, พวงมาลัยหุ้มหนังทรง D-SHAPE, หัวเกียร์หุ้มหนัง, มีการจัดวางปุ่ม PUSH START ใหม่, มีการตกแต่งด้วยเฉดสี PIANO BLACK/SILVER, เบาะนั่งแบบ ZERO GRAVITY เล่นสีทูโทนรับกับสีภายนอกของตัวถัง นอกจากนี้ ยังมีมาตรวัดดิจิทอล จอสี TFT ขนาด 7 นิ้ว และดูทันสมัยด้วยจอวิทยุแบบทัชสกรีนขนาด 8 นิ้ว รองรับการเชื่อมต่อ NISSAN CONNECT เทคโนโลยีเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนเข้ากับหน้าจอเครื่องเสียงผ่าน APPLE CAR PLAY และยังอำนวยความสะดวกสบายด้วยระบบนำทาง NAVIGATION SYSTEM ผ่าน GOOGLE MAP ที่มาพร้อมระบบสั่งงานด้วยเสียง (VOICE RECOGNITION)
สำหรับพื้นที่ใช้สอยภายในห้องโดยสาร เบาะตอนหลังสามารถพับได้ในสัดส่วน 60:40 และ 100 % ทำให้มีพื้นที่จัดเก็บสัมภาระต่างๆ ได้มากถึง 423 ลิตร
จุดขายที่ 2 คือ เทคโนโลยี E-POWER เป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ใช้น้ำมันในการสร้างกระแสไฟฟ้า เพื่อขับเคลื่อนมอเตอร์ไฟฟ้า 100 % ในการขับขี่ ช่วยให้ขับสนุกด้วยอัตราเร่งการออกตัวที่ได้ดั่งใจ
นอกจากนี้ ยังมีเทคโนโลยีใหม่ ONE-PEDAL ช่วยให้การขับขี่เป็นเรื่องง่ายขึ้นด้วยการใช้แป้นคันเร่งเพียงอย่างเดียวในการเร่ง หรือชะลอความเร็ว และมีโหมดการขับขี่ให้เลือกถึง 4 โหมด ได้แก่ NORMAL MODE ให้อัตราเร่งแบบรถไฟฟ้า แต่ตอบสนองการเบรคเหมือนรถยนต์ทั่วไป, S MODE เน้นสมรรถนะในการขับเคลื่อน และตอบสนองอัตราเร่งที่ดีเยี่ยม, ECO MODE ปรับการทำงานของระบบ E-POWER ให้ใช้พลังงานอย่างเต็มประสิทธิภาพ และลดการใช้พลังงานที่สิ้นเปลือง, EV MODE เป็นโหมดขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าที่เหลือภายในแบทเตอรี และ N MODE เป็นโหมดเกียร์ว่างขณะดับเครื่องยนต์
จุดขายที่ 3 คือ เรื่องความปลอดภัย ที่จัดเต็มทุกฟีเจอร์ ด้วยระบบ NISSAN INTELLIGENT MOBILITY
ขุมพลังเป็นเครื่องยนต์ 3 สูบ DOHC ขนาดความจุ 1.2 ลิตร สำหรับสร้างกระแสไฟฟ้า ระบบจ่ายเชื้อเพลิง ใช้หัวฉีดมัลทิพอยท์ ให้กำลังสูงสุด 79 แรงม้า (60 กิโลวัตต์) ที่ 6,000 รตน. แรงบิด 11.0 กก.-ม. (103 นิวตัน-เมตร) ที่ 3,600-5,200 รตน. ส่วนมอเตอร์ไฟฟ้าสำหรับขับเคลื่อน กำลังสูงสุด 129 แรงม้า (95 กิโลวัตต์) ที่ 4,5000-8,992 รตน. แรงบิดสูงสุด 26.5 กก.-ม. (260 นิวตัน-เมตร) ที่ 500-3,008 รตน. ถ่ายทอดกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ
ระบบรองรับ ด้านหน้าแบบอิสระ แมคเฟอร์-สันสตรัท พร้อมเหล็กกันโคลง ด้านหลังแบบทอร์ชันบีม คอยล์สปริง พร้อมเหล็กกันโคลง
จากการทดลองขับแบบขับจริง ใช้งานจริงตามเส้นทางจราจรที่หลากหลาย สิ่งที่ประทับใจมาก คือ การควบคุมรถง่ายดายมาก น้ำหนักพวงมาลัยเพาเวอร์ควบคุมด้วยไฟฟ้า ช่วยให้เราสนุกกับการขับขี่ การตอบสนองวงเลี้ยวในระยะกระชั้นชิด ทำได้ดี มุดสนุก มีเพียงผิวสัมผัสของวงพวงมาลัย และสีสันที่น่าจะปรับลุค อัตราเร่งของเครื่องยนต์ที่ผสานกับไฟฟ้า ให้ความรู้สึกที่ดี ไม่อืดอาด ไม่หน่วงจนน่ารำคาญ ขับแบบปกติ เหยียบบ้าง ผ่อนบ้าง ยังสามารถทำอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ยที่ระดับ 17.9 กม./ลิตร ถ้าไม่รีบร้อนใช้วิธีเติมคันเร่งเนียนๆ ค่อยๆ เติมแบบขับประหยัดน้ำมันน่าจะทำตัวเลขได้ดีกว่านี้เยอะ
สมรรถนะครบเครื่อง อัตราเร่งตอบสนองฉับไว ช่วงล่างนุ่มแต่หนึบ ระบบ ONE-PEDAL ช่วยให้ควบคุมรถง่ายขึ้น ราคาดีงาม ชวนให้เสียตังค์ซื้อจริงๆ