รายงาน(formula)
เมื่ออาการ เทอร์โบแลก เป็นแค่อดีต !?!
เสียงคำรามที่ดังก้องอย่างต่อเนื่องจากขุมกำลังเทอร์โบคู่ บ่งบอกพละกำลังที่อัดแน่นในเครื่องยนต์ วี 8 สูบ ของสปอร์ทคูเปจากค่าย แฟร์รารี 488 จีทีบี มีกำลังสูงสุดถึง 670 แรงม้า (มากกว่ารุ่นก่อนหน้าอย่าง 458 ถึง 99 แรงม้า) มาดูกันว่ารถสปอร์ทรุ่นนี้จะเร้าอารมณ์แค่ไหน !?ว่ากันด้วยชื่อของรถรุ่นนี้ มีรูปแบบเดียวกับรถสปอร์ทในอดีต ตัวเลข 488 คือ ขนาดความจุของแต่ละกระบอกสูบ เมื่อคูณด้วย 8 ก็จะเป็นขนาดความจุของเครื่องยนต์พอดี ส่วนตัวอักษรต่อท้าย GTB มาจากคำว่า GRAN TURISMO BERLINETTA มีความหมายว่า สปอร์ทคูเปแบบ กแรนด์ ทัวริง สำหรับแฟนพันธุ์แท้ที่รับรู้ประวัติศาสตร์ของค่ายรถแห่งนี้เป็นอย่างดี จะทราบว่านี่คือทายาทของสปอร์ทรุ่น 308 ที่เปิดตัวเมื่อ 40 ปีมาแล้ว นอกจากนี้สปอร์ทเครื่องยนต์วางกลางลำรุ่นแรกมีชื่อว่า แฟร์รารี แบร์ลิเนตตา มาพร้อมขุมกำลังแบบ วี 8 สูบ มีชื่อต่อท้ายว่า จีทีบี เช่นกัน ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแรงในอดีตและปัจจุบัน ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ ครั้งหนึ่ง 308 คือ รถสปอร์ทที่แสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าของวิทยาการแห่งโลกยานยนต์ในเวลานั้น มาถึงปัจจุบัน 488 คือ ตัวแทนของยุคสมัยใหม่อันรุ่งโรจน์ของ แฟร์รารี เช่นกัน ขุมกำลังขนาดใหญ่ แบบ วี 8 สูบ ไร้ระบบอัดอากาศ (ขนาด 4.5 ลิตร) ที่วางอยู่ใน 458 ถูกแทนที่ด้วยเครื่องยนต์ที่มีขนาดย่อมลงมา แต่ไม่เป็นรองเรื่องพละกำลัง (มีขนาดไม่ถึง 4,000 ซีซี ด้วยซ้ำ) เสริมพละกำลังด้วยระบบอัดอากาศเทอร์โบคู่ เพื่อผลลัพธ์สำคัญ คือ การลดอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง และค่าไอเสียไปในตัว ซึ่งเป็นรูปแบบเดียวกับเพื่อนร่วมค่ายอย่าง แคลิฟอร์เนีย ที (ในความเป็นจริงเครื่องยนต์ของรถทั้ง 2 รุ่น ใช้ชิ้นส่วนร่วมกันหลายจุด) การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญนี้อาจทำให้แฟนๆ ของค่ายมีความหวาดหวั่นในทีแรกว่า ความเร้าใจแบบเครื่องยนต์ไร้ระบบอัดอากาศจะสูญหายไป รวมไปถึงความสามารถในการเร่งรอบเครื่องยนต์สูงสุดถึง 9,000 รตน. ทว่า หลังจากที่ทีมงานของเราได้ทดลองขับรถรุ่นนี้ที่สนาม FIORANO ณ เมืองมาราเนลโล สามารถฟันธงได้เลยว่า จิตวิญญาณที่ดุดันของค่ายม้าลำพอง ยังคงมีอยู่เต็มเปี่ยม นี่คือรถสปอร์ทที่มีสมรรถนะฉับไวตามแบบฉบับของค่าย แฟร์รารี ผสานกับจุดเด่นหลายประการที่จะสำแดงออกมาในภายหลัง แรงจน "ดริฟท์" ได้อย่างง่ายดาย ทันทีที่ทะยานเข้าสู่สนาม FIORANO เราสัมผัสได้ทันทีว่านี่คือผลงานการรังสรรค์ของค่ายรถระดับตำนาน ในช่วงทางตรงแรก เราสามารถไต่ความเร็วจนถึงเกียร์ 7 อัตราทดของแต่ละเกียร์ค่อนข้างชิด (โดยเฉพาะช่วง 3 จังหวะสุดท้าย) การแสดงผลต่างๆ จึงถูกปรับแต่งให้มีการตอบสนองที่ฉับไว ไม่ว่าจะเป็นมาตรวัดรอบเครื่องยนต์ข้างหน้าผู้ขับ และแถบไฟบอกจังหวะการเปลี่ยนเกียร์บนพวงมาลัย ล้วนแล้วแต่มีส่วนสำคัญที่จะทำให้ผู้ขับสามารถรีดสมรรถนะสูงสุดออกมาได้ คิดเป็นตัวเลขที่มากกว่ารุ่นก่อนหน้าอย่าง 458 ถึง 99 แรงม้า และมากกว่ารุ่น สเปชิอาเล ถึง 64 แรงม้า ในรอบแรกของช่วงทดลองขับ บ่อยครั้งที่เราเร่งถึงรอบเครื่องยนต์สูงสุดโดยไม่รู้ตัว เครื่องยนต์กวาดรอบได้อย่างฉับไวมาก อัตราเร่ง 0-200 กม./ชม. ในเวลาเพียง 8.3 วินาที แต่สิ่งที่น่าประทับใจยิ่งกว่า คือ การตอบสนองของคันเร่ง ทีมวิศวกรจากเมืองมาราเนลโล ยืนยันว่าการตอบสนองช่วง 2,000 รตน. ของเกียร์ 3 ใช้เวลาเพียง 0.8 วินาทีเท่านั้น และสิ่งที่เขากล่าวก็เป็นความจริง นอกจากนี้รูปแบบการส่งกำลังนั้นเหมือนกับ แคลิฟอร์เนีย ที นั่นคือ กราฟแรงบิดที่แยกต่างหากระหว่างเกียร์สูง และเกียร์ต่ำ เพื่อการตอบสนองที่ให้อารมณ์ใกล้เคียงกับเครื่องยนต์แบบไร้ระบบอัดอากาศ สิ่งที่จะพอทำให้เรารับรู้ถึงการมีอยู่ของระบบเทอร์โบ คือ เสียงของเครื่องยนต์ที่คำรามอยู่ด้านหลังผู้ขับเท่านั้น ส่วนอาการเทอร์โบแลก ไม่มีให้เห็นเลยแม้แต่น้อย การบังคับควบคุมเป็นไปตามแบบฉบับของ แฟร์รารี พวงมาลัยผ่อนแรงด้วยไฮดรอลิค มีน้ำหนักเบา หักเลี้ยวง่าย ในช่วงความเร็วต่ำ แต่สำหรับ 488 แล้ว ยิ่งขับเร็วเท่าไร ความแม่นยำของการบังคับควบคุมก็เพิ่มมากขึ้นเท่านั้น ! ความสนุกขณะบังคับควบคุมเป็นผลดีจากระบบรองรับที่ยอดเยี่ยม และการปรับแต่งที่ลงตัวของระบบป้องกันการลื่นไถล และเฟืองท้ายแบบ E-DIFF การทำงานของระบบช่วยเหลือการขับขี่คล้ายคลึงกับของ สเปชิอาเล หากปิดการทำงานของระบบป้องกันการลื่นไถล (CT OFF) ซึ่งอยู่ภายใต้โหมดการขับขี่แบบเน้นสมรรถนะสำหรับสนามแข่ง ระบบจะประมวลผลจากตัวแปรหลายประการ ได้แก่ ความเร็ว องศาของพวงมาลัย และอื่นๆ อีกมากมาย เพื่อเปิดโอกาสให้มีอาการโอเวอร์สเตียร์ เล็กน้อย ผู้ขับสามารถควบคุมรถให้ออกอาการท้ายกวาดได้ ขณะอยู่ในสนามทดสอบ และแก้ไขได้อย่างไม่ยากเย็น แต่ในกรณีที่ผู้ขับใช้ความเร็วเกินความเหมาะสม จนกระทั่งตัวรถมีแนวโน้มที่จะเกิดอาการหมุน ระบบช่วยเหลือแบบอีเลคทรอนิค จะเริ่มทำงานทันทีทันใด และควบคุมไม่ให้รถเสียการทรงตัว ระบบดังกล่าวทำงานได้อย่างเหลือเชื่อ ป้องกันความผิดพลาดใดๆ ที่เกิดจากผู้ขับ ในขณะที่ขับขี่ด้วยความเร็วสูง ผู้ขับต้องใช้การควบคุมที่แม่นยำเป็นอย่างมาก เพื่อทำเวลาออกมาให้ดีที่สุด อย่างไรก็ตามการผิดระบบช่วยเหลือทั้งหมด ทำให้รถรุ่นนี้สามารถ “ดริฟท์” ได้อย่างง่ายดาย แม้ช่วงความเร็วต่ำ แต่เหมาะสำหรับผู้ขับที่มีความสามารถในการขับขี่ในระดับสูง สมรรถนะในสนามทดสอบของ 488 ทำได้อย่างยอดเยี่ยมอย่างที่ควรจะเป็น สิ่งที่เรารู้สึกประทับใจมาก คือ การตอบสนองของช่วงล่าง ขณะขับขี่บนท้องถนน ด้วยช่วงล่างที่แปรผันการทำงานด้วยระบบแม่เหล็ก (SCM3) ช่วยให้การตอบสนองต่อพื้นผิวถนนดีขึ้นกว่าเดิม มีความสะดวกสบายเกินคาด ทำให้รถสปอร์ทรุ่นนี้ใกล้เคียงกับคำว่า “สมบูรณ์แบบ” มากยิ่งขึ้น การตอบสนองที่ถูกปรับแต่งอย่างลงตัว แม้แต่ แฟร์รารี ก็ต้องพัฒนาให้รถสปอร์ทในสังกัดมีค่าไอเสียลดลง ทีมวิศวกรต้องอาศัยแนวทางการพัฒนาขุมกำลังแบบที่หลายค่ายทำมาแล้วก่อนหน้านี้ นั่นก็คือ การลดขนาดเครื่องยนต์ และชดเชยด้วยระบบอัดอากาศ โจทย์สำคัญของทีมงานที่พัฒนารถรุ่นนี้ คือ อารมณ์ขณะขับขี่ที่เร้าใจ ไม่ยิ่งหย่อนกว่าเครื่องยนต์แบบไร้ระบบอัดอากาศ เพื่อการนี้ ทีมวิศวกรจากเมืองมาราเนลโล ให้ความสำคัญกับการพัฒนาให้ระบบเทอร์โบคู่มีอาการแลกน้อยที่สุด แกนหมุนของระบบอัดอากาศใช้วัสดุไททาเนียม และอลูมิเนียม เพื่อลดอาการฝืดขณะทำงาน เสริมด้วยระบบใบพัดคู่แบบแปรผัน ช่วยให้อากาศขาออกมีปริมาณที่เหมาะสมตลอดเวลา ลดอาการแลกอย่างได้ผล นอกจากนี้ยังออกแบบให้ท่ออากาศขาเข้า มีการไหลเวียนที่ดียิ่งขึ้น นำไปสู่อากาศแบบหมุนวนในห้องจุดระเบิด ช่วยลดการทำงานของชุดปั๊มน้ำมันเชื้อเพลิงลงถึง 30 % ส่วนชุดท่อไอเสียมีความยาวเท่ากัน เพื่อการระบายไอเสียที่ไหลลื่น ผนวกกับซุ่มเสียงที่เร้าใจ ระบบอากาศพลศาสตร์ของตัวรถมีการพัฒนามากขึ้น (ด้วยผลดีของการออกแบบพื้นใต้ตัวรถที่ลงตัว และ ครีบจัดเรียงอากาศแบบแปรผัน เพื่อประสิทธิภาพของชุดจัดเรียงอากาศด้านท้ายได้เป็นอย่างดี) ผลลัพธ์ คือ แรงกดที่มากกว่ารุ่นก่อนหน้าถึง 50 % (คิดเป็นแรงถึง 325 กก. ที่ความเร็ว 250 กม./ชม.) ลดแรงต้านไปในตัว ช่วงล่างแบบสนามแม่เหล็กได้รับการปรับปรุงด้วย เช่นเดียวกับการปรับแต่งการทำงานของระบบป้องกันการลื่นไถล และระบบเบรคของ บเรมโบ [table] ข้อมูลจำเพาะ เครื่องยนต์ ขนาด,3902 ซีซี แบบ,วี 8 สูบ (ทำมุม 90 องศา) กำลังสูงสุด,670 แรงม้า ที่ 8000 รตน. แรงบิดสูงสุด,77.5 กก.-ม. ที่ 3000 รตน. (เกียร์ 7) ระบบส่งกำลัง ขับเคลื่อน,2 ล้อหลัง เกียร์อัตโนมัติ,คลัทช์คู่ 7 จังหวะ มิติตัวถัง และน้ำหนัก ยาว,4570 มม. กว้าง,1950 มม. สูง,1210 มม. น้ำหนักรวม,1475 กก. [/table]
เรื่องโดย : QUATTRORUOTE
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน ตุลาคม ปี 2558
คอลัมน์ Online : รายงาน(formula)
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/96893