โค้งอันตราย
ไหลตามน้ำ
ผ่านมา 4 เดือน ยอดการขายรถยนต์ก็ยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ไปตามสภาพเศรษฐกิจ ที่บางกลุ่ม บางพวก ก็ยังคงไม่กระทบกระเทือน แม้ว่าค่าเงินบาทจะยังคงแข็งค่า เนื่องจากผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจทั่วโลก ไทยเราเองเป็นประเทศที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง เงินบาทจึงแข็งค่าตามไปด้วย ก็มีเสียงเรียกร้อง ให้ภาครัฐลงมือทำอะไรบ้าง ไม่ใช่นั่งนิ่งอยู่แต่ในหอคอยงาช้าง
แม้แต่ค่ายที่ผลิตเพื่อการส่งออก ยังออกมาบ่นว่า เงินบาทแข็ง ทำให้รถมีต้นทุนการผลิตสูงขึ้น การส่งออกจึงลำบากมากขึ้น ส่วนการจัดหาชิ้นส่วนจากต่างประเทศ ที่มีราคาถูกกว่า ในทางทฤษฎีเป็นไปได้ แต่ทางปฏิบัติต้องใช้เวลานานพอสมควร สิ่งที่ทำได้ในขณะนี้ คือ การบริหารจัดการลดต้นทุน พร้อมเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต เพื่อชดเชยกับส่วนต่างจากการแข็งค่าของเงินบาท
ก็ต้องคอยดูกันต่อว่าภาครัฐจะสามารถจัดการกับปัญหาเหล่านี้ได้อย่างไร
กลับมาดูตัวเลขการขาย 4 เดือน ยังคงขายกันเพิ่มถึง 42.3 % รวมทั้งตลาด 517,372 คัน ขณะที่ยอดเดือนเดียว เพิ่มขึ้น 24.8 % จากแคมเปญที่ค่ายรถยนต์โหมกระหน่ำกันมาตั้งแต่ต้นปี ขายกันได้ 108,336 คัน
ลองคิดกันเล่นๆ 4 เดือน ขาย 5 แสนกว่าคัน 12 เดือนจะขายได้สักล้าน 5 ไหมเอ่ย
มาดูความเป็นไปในรอบเดือนที่ผ่านมาบ้าง เรื่องคุยกันติดปากค่ายรถยนต์ ก็ยังคงเป็นเรื่องยอดนิยม รถคันแรก ที่เล่าขานกันได้ไม่รู้จบ
เริ่มกันด้วยธนาคารแห่งประเทศไทย ออกมาบอกว่า หนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอนพีแอล) ทั้งระบบมีจำนวน 2.56 แสนล้านบาท ของสินเชื่อรวมทั้งระบบประมาณ 9.8 ล้านล้านบาท โดยสินเชื่อรถยนต์ (ลีซิง) เป็นสินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภคที่มีเอนพีแอลเพิ่มขึ้นมากที่สุด 1,700 ล้านบาท หรือเพิ่มจาก 1.15 หมื่นล้านบาท เป็น 1.32 หมื่นล้านบาท
นั่นเป็นตัวเลขในภาพรวม เพราะหากแยกย่อยออกมาแล้ว ก็ต้องมี รถคันแรก ติดร่างแหอยู่ในนั้นบ้างละ
ถัดมาเป็นด้านประกันภัย อันนี้ตัวจริง เสียงจริง ออกมาเล่าสู่กันฟังว่า
สถานการณ์การรับประกันภัยรถยนต์ในปีนี้ น่าจะเห็นบริษัทประกันภัยปรับเพิ่มความเข้มข้นเรื่องการบริหารความเสี่ยง และความเพียงพอของอัตราเบี้ยประกันภัยกันมากขึ้น จึงน่าจะต้องปรับเพิ่มเบี้ยสำหรับรถในบางกลุ่ม โดยเฉพาะรถป้ายแดงและในกลุ่มรถขนาดเล็กขนาดเครื่องยนต์ไม่เกิน 1.8 ลิตร
การแข่งขันในช่วงที่ผ่านมา เห็นได้ชัดว่าค่าเบี้ยไม่น่าจะเพียงพอกับต้นทุนความเสียหายที่เกิดขึ้น เพราะส่วนใหญ่เป็นประกันแถมกับรถยนต์ แม้ว่ากลุ่มรถเล็กจะมีราคาอะไหล่ที่ถูกกว่านิดหน่อย แต่ความเสี่ยงที่จะเกิดความเสียหายก็สูงกว่าด้วย ฉะนั้นทิศทางของเบี้ยประกัน ก็น่าจะต้องปรับเพิ่มขึ้น
ผลลัพธ์ที่ชัดเจนคาดว่าจะเห็นกันได้หลังไตรมาส 2 ไปแล้ว เพราะเป็นช่วงที่รถใหม่โดยส่วนใหญ่ มีสถิติมาครบ 1 ปีแล้ว จึงยังต้องรอดูผลส่วนนี้ คาดว่าทั้งตลาดอาจต้องปรับเพิ่มเบี้ยกันใหม่ ทั้งกระดานอีก 15-20 % เพราะต้นทุนสูงขึ้นมาก
นั่นเป็นผลกระทบมาจาก รถคันแรก หรือเปล่าเนี่ย
มาดูกันทางด้านเทนท์รถมือสองบ้าง
วงการรถมือสองประเมินกันว่า ปีนี้ตลาดรถมือสองจะมีความผันผวนอย่างมาก โดยเฉพาะโครงสร้างราคา เนื่องจากจะมีรถเข้าสู่ตลาดจำนวนมาก ทำให้เกิดการแข่งขันทั้งด้านการตลาด และราคา และหากมีรถจากโครงการรถคันแรกเข้าตลาดมือสองมากขึ้น จะทำให้ราคารถเทนท์ทั่วไปได้รับผลกระทบยิ่งขึ้น เนื่องจากรถจากโครงการรถคันแรก เป็นรถรุ่นปีที่ใหม่กว่า
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ตลาดที่จะเกิดขึ้นในปีนี้จะเป็นผลดีต่อผู้ซื้อรถ เนื่องจากมีตัวเลือกมากขึ้น ราคาไม่สูง และมีอายุการใช้งานน้อย
ในทางกลับกัน ผู้ที่จะได้รับผลกระทบมี 2 กลุ่ม คือ บริษัทรถยนต์ เนื่องจากลูกค้าส่วนหนึ่งจะหันมาซื้อมือสองแทนรถใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มรถเครื่องยนต์ไม่เกิน 1.5 ลิตรที่เคยได้สิทธิ์คืนภาษี
และอีกกลุ่มหนึ่งก็คือ ผู้ที่ต้องการจะเปลี่ยนรถคันใหม่ เนื่องจากรถคันเก่าที่จะนำไปเทิร์น หรือขายในเต็นท์รถมือสอง จะมีราคาที่ตกลงอย่างรุนแรง โดยเฉพาะเครื่องยนต์ระดับ 1.5 ลิตร เช่นกัน
ยังครับ ยังไม่หมด ยังมีลูกต่อเนื่องติดพันอีก
อันนี้ทางด้านกำลังซื้อของผู้บริโภค ที่นายกสมาคมค้าส่ง-ค้าปลีกไทย ออกมาบอกว่า กำลังการซื้อไตรมาส 2 ของผู้บริโภคยังไม่มีสัญญาณว่าจะฟื้นตัว โดยกลุ่มผู้บริโภคที่น่าจะเป็นห่วง คือ กลุ่มระดับกลาง-ล่าง จนถึงกลุ่มรากหญ้า และคาดว่าจะซบลากยาวกระทั่งถึงสิ้นปีนี้ หรืออาจซบต่อเนื่องถึงขั้น 5 ปี หรือจนกว่าจะผ่อนรถหมด ส่วนกลุ่มระดับกลาง-บน ยังมีกำลังการซื้อดีอยู่
คาดว่ากำลังการซื้อของผู้บริโภคจะยังคงซบต่อเนื่องลากยาวจนถึงสิ้นปีนี้ หากภาครัฐไม่มีนโยบายหรือมาตรการใดๆ ออกมากระตุ้นการจับจ่ายของผู้บริโภค หลังจากผู้บริโภคลดการจับจ่ายลงเนื่องจากต้องกันเงินส่วนหนึ่งไว้จ่ายค่างวดรถคันแรก
เรื่องพวกนี้เวลาเขียน ก็ต้องก้มหน้าก้มตาเขียน เพราะที่นั่งๆ กันอยู่แถวนี้ ก็เข้าข่ายอยู่หลายหน่วยทีเดียว เพราะท่านเป็นเจ้าของ รถคันแรก ที่ยังผ่อนอยู่
ไม่แต่เงินค่างวดเท่านั้น บางท่านยังยินยอมจอดรถไว้ที่บ้าน เก็บไว้ใช้งานแค่วันหยุด เพราะทนทานกับการเติมน้ำมันไม่ไหว เอาค่าน้ำมันมาเป็นค่ากินดีกว่า แถมยังต้องเตรียมค่าเข้าศูนย์บริการตามระยะอีก ก็เลยบอกศาลาไปตามระเบียบ
ดีนะเนี่ย มีข้อแม้ต้องครอบครองรถ 5 ปี มาบังคับเอาไว้ ไม่งั้นท่าทางจะขายไปเสียแล้วล่ะ
ก็ทนใช้กันไปให้ครบ 5 ปี ตามข้อบังคับก็แล้วกัน เงินภาษีคืนก็รับมาแล้ว บิดพลิ้วไม่ได้แล้วจ้า
เรื่องโดย : มือบ๊วย
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน กรกฏาคม ปี 2556
คอลัมน์ Online : โค้งอันตราย
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/91327