ร่มไม้ชายศาล
"ROAD RAGE"
อ๊ะ ใช้ชื่อเรื่องภาษาปะกิตเชียวละครับถ้าเซ็งๆ ว่างๆ เบื่อๆ ใช้ YOUTUBE เปิดขึ้นมา พิมพ์ภาษาอังกฤษ คำว่า ROAD RAGE ลงไป ท่านจะเห็นคลิพวีดีโอที่คนบนท้องถนน ใช้อารมณ์ ความรุนแรง ถึงขั้นทำร้ายร่างกายกัน เนื่องจากเกิดความฉุนเฉียว เมื่อขับรถแซง ปาดกัน แย่งทาง ปิดกั้น เฉี่ยวชน หรือแข่งขันกัน ดูแล้ว ชาวรัสเซียค่อนข้างมีปัญหามากกว่าที่อื่น จอดรถบนถนนดื้อๆ เดินลงมาราวีกันทั้งสองฝ่ายก็มี ฝ่ายหนึ่งยังนั่งอยู่ในรถ อีกฝ่ายมาเปิดประตูรถ แล้วใช้เท้าถีบ หรือมุดเข้าไป
ตะบันหน้าก็มี แทบทั้งหมดเป็นพวกผู้ชาย ไม่จำกัดอายุ แก่ๆ ก็ลุย หนักไปในทางเตะต่อย มีบ้างที่คว้าไม้ซึ่งเตรียมมาในรถเป็นอาวุธ ทุบตีคนไม่ได้ เพราะเขาวิ่งหนี ก็ทุบรถของคู่กรณี ดูแล้วช่วยเตือนสติเราได้พอสมควร
ถามว่า คนบ้านเราเป็นยังไงบ้าง ใจร้อนอย่างชาวรัสเซียหรือที่อื่นไหม ใช้ความรุนแรงเหมือนเขาไหม
คำตอบ คือ เดี๋ยวนี้คนไทยใจร้อนมากขึ้นซะมากกว่า แต่ไม่เหมือนเขาเสียทีเดียวในการราวี ไม่นิยมเตะต่อยกันกลางถนน ทั้งๆ ที่เตะต่อยได้เก่งกว่าฝรั่ง เพราะมีวิชามวยไทยติดตัวมาแต่เด็ก พูดกันตรงๆ พวกเราไม่ เอาวิธีแมนๆ ตะบันหน้ากันแบบลูกผู้ชาย เสร็จแล้วเลิกรากันไปอย่างเขา เราใจร้อนกว่า ถึงขั้นเอาเป็นเอาตาย ชอบใช้อาวุธ ทั้งปืน มีด อีดาบ หรืออื่นๆ เพราะกลัวตัวเองเสียที เลยชิงลงมือแบบโหดๆ ไว้ก่อน
เมื่อรู้พวกเราเป็นอย่างที่ว่าตะกี้ มีคนเจ็บ คนตาย ไปไม่น้อย เช่น ขับรถปาดหน้าก็ชักปืนยิง ขับรถขวางกันก็ยิง เลยส่งผลให้คนบ้านเราดูเหมือนใจเย็นเวลาใช้รถ ไม่ค่อยเห็นพวกเราหยุดรถลงไปเตะต่อยกันกลางถนนอย่างพวกฝรั่ง หรือที่อื่น จริงๆ แล้วเราใจร้อน เมื่อบวกกับวิธีขับรถไม่มีวินัย ไม่มีน้ำใจ เลยใจร้อนกันทั้งบาง แต่เมื่อรู้นิสัยพวกเดียวกันว่า นิยมใช้อาวุธ ชอบลงมือก่อน หรือใช้วิธีซุ่มรอดักทำร้าย ไม่เล่นกันซึ่งๆ หน้า เช่น การเตะต่อย แค่นั้นพอ คนบ้านเราจึงพยายามควบคุมอารมณ์ จนดู
เหมือนใจเย็น เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้มีเรื่อง คล้ายๆ คนเก็บกด ระเบิดขึ้นมาเมื่อไร เลยควบคุมไม่ได้ เล่นแรง ไม่คำนึงถึงความตาย และคุกตะราง คงเป็นของเรายังงี้เรื่อยไปนั่นแหละครับ ท่านว่าจริงไหม
ตามมาด้วยคดีเพื่อความมันของเราเช่นเคย
เป็นเรื่องของความแรงเช่นกัน คือ ขับรถแรงไปหน่อย ทั้ง นายย่องศักดิ์ และ นายอย่างเย็น ถึงสี่แยกต่างไม่ชะลอ เมื่อแยกนั้นไม่มีไฟอำนาจ อย่างที่พี่น้องลาวเขาเรียกซะน่ารัก ต่างตะบึง รถยนต์จึงชนกันค่อนข้างแรง เสียหายแยะทั้ง 2 คัน รถ นายย่องศักดิ์มี นส. ปานเทวี นั่งมาด้วย ร้อยเวรโรงพักกับผู้ฟ้องคดีเห็นว่าเธอได้รับอันตรายแก่กาย หรือถึงบาดเจ็บ จึงหอบหิ้วไอ้หนุ่มคนขับรถทั้ง 2 คัน ไปฟ้องที่ศาลเป็นคดีเดียวกัน ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา ฐานทำโดยประมาทให้ผู้อื่น
ได้รับอันตรายแก่กาย และข้อหาขับรถประมาทน่าหวาดเสียวตาม พรบ. จราจร
งานนี้ นายย่องศักดิ์ กับ นายอย่างเย็น ต่างมีฐานะ และด้วยฐานะ จึงไม่สมควรติดตะรางง่ายๆ เหมือนชาวบ้านทั่วไป เป็นซะงั้น พากันหาทนายของตนสู้คดี ให้การปฏิเสธ ขอให้ยกฟ้องทั้งหมด
ศาลชั้นต้นออกนั่งบัลลังก์ กวาดสายตาที่พยายามให้ดุพอสมควร ผู้คนในนั้นจะได้เกรงใจ ไม่กล้ามั่วนิ่ม หรือพูดเรื่อยเปื่อย พิจารณาปากคำและพยานหลักฐานของทุกฝ่ายแล้ว
พิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามบทกฎหมายที่โจทก์ฟ้อง แต่ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 390 ฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กาย ซึ่งเป็นบทหนักที่สุดในคดีนี้ จำคุกคนละ 15 วัน แต่เมตตานิดหนึ่ง ให้เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นกักขังคนละ 15 วัน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 23
นายอย่างเย็น ฐานะคงจะเบากว่า นายย่องศักดิ์ จึงรับได้กับคำตัดสิน ไม่เกรงการเสียประวัติ อีกทั้งยังไม่ต้องเข้าเรือนจำ แค่กักขังที่โรงพัก อาศัยคุณจ่าบ้าง ผู้หมู่บ้างซื้อข้าวผัดโอเลี้ยงจากร้านของภรรยาตำรวจมาให้กิน ถ้าญาติมาเยี่ยมไม่ทัน ไม่อยากกินของฟรีที่ทางการจัดให้ จึงไม่อุทธรณ์
นายย่องศักดิ์ รับไม่ได้ ชื่อก็บอกว่าพอมีศักดิ์ จึงลงทุนให้ทนายยื่นอุทธรณ์ อ้างนั่นนี่ขอให้ยกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์ไม่ต้องออกแรงนั่งบัลลังก์เหมือนตอนทำงานอยู่ศาลชั้นต้น เอาสำนวนความมาเล็งดูจนทั่วถึงแล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงของคดีเป็นไปตามที่ศาลชั้นต้นว่าไว้ แต่ศาลอุทธรณ์มองว่า ลักษณะบาดแผลของ นส. ปานเทวี คงจะสวยไม่หยอก ยังถือไม่ได้ว่าเธอได้รับอันตรายแก่กาย นายย่องศักดิ์ จึงมีความผิดเฉพาะฐานขับรถโดยประมาท ตามพระราชบัญญัติจราจรทางบกเท่านั้น และถือว่าเป็นเหตุลักษณะคดี มีผลถึง นายอย่างเย็น ด้วย จึงพิพากษาแก้ว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตาม
พระราชบัญญัติจราจรทางบก ปรับคนละ 500 บาท คำขออื่นให้ยก
ผู้ฟ้องคดีไม่เอาด้วย ร้อนวิชาเหมือนกัน คดีนี้เลยกลายเป็นหนังชีวิต ยื่นฎีกาขึ้นไป อ้างว่า นายย่องศักดิ์ อุทธรณ์อยู่คนเดียว เถียงว่า นายอย่างเย็น ประมาทฝ่ายเดียว ขับรถไม่ได้อย่างเย็นเหมือนชื่อ เขาไม่อุทธรณ์เกี่ยวกับเรื่องบาดแผลของ นส. ปานเทวี สักหน่อย แต่ศาลอุทธรณ์กลับหยิบยกลักษณะบาดแผลของหล่อนขึ้นมาวินิจฉัย แล้วพิพากษาแก้ว่า นายย่องศักดิ์ กับ นายอย่างเย็น ไม่ผิดฐานกระทำโดยประมาท เป็นเหตุให้ นส. ปานเทวี ได้รับอันตรายแก่กาย เป็นการนอกอุทธรณ์ ทำไม่ได้ ชัดๆ
คือ การขับรถของจำเลยทั้งสองแย่มากๆ น่าหวาดเสียวเป็นเหตุให้เกิดชนกันอย่างแรง ต่างเสียหายเยอะ บาดแผลของ นส. ปานเทวี ถือว่าเป็นอันตรายแก่กายแล้วละ ลงโทษตามที่ศาลล่างว่าไว้เถิดครับ
ศาลฎีกา จำเป็นต้องทำคดีไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ ถ้าช่องทางตามกฎหมายฎีกาได้อย่างคดีนี้ แล้วชี้ขาดออกมา
การที่ นายย่องศักดิ์ เขาโต้ในชั้นอุทธรณ์ว่า งานนี้ นายอย่างเย็น ประมาทคนเดียว นายย่องศักดิ์ ขับรถแบบย่องๆ ไปตามชื่อ ขอให้ศาลอุทธรณ์ตัดสินปล่อย นายย่องศักดิ์พ้นข้อหาไป อีแบบนี้เท่ากับ นายย่องศักดิ์ เถียงว่าไม่ได้ทำความผิดตามฟ้อง ตามที่ศาลชั้นต้นตัดสิน เพราะงั้นเมื่อศาลอุทธรณ์เห็นว่าบาดแผลของ นส. ปานเทวี ซึ่งปรากฏในทางพิจารณา แค่เจ็บบริเวณข้อศอก ปลายแขนซ้ายช้ำนิดๆ 2 วันหาย อย่างนี้ไม่ถึงกับเป็นอันตรายแก่กาย ที่จะเอาผิดตาม ป. อาญา มาตรา 390 ไปตัดสินจำคุกตั้ง 15 วัน แม้ นายย่องศักดิ์ ไม่ได้อุทธรณ์โต้แย้งเรื่องบาดแผล ศาลอุทธรณ์ก็มีอำนาจหยิบยกส่วนที่เป็นคุณขึ้นวินิจฉัยให้เป็นผลดีแก่เขาได้ ไม่นอกฟ้องหรอก
ศาลฎีกาแจงต่อไปว่า แม้การขับรถของจำเลยทั้งสอง มันแย่มาก น่าหวาดเสียว เป็นเหตุให้เกิดชนกันอย่างแรง ต่างเสียหายเยอะ แต่ลักษณะบาดแผลของ นส. ปานเทวี ไม่ถึงขั้นที่เรียกว่าเป็นอันตรายแก่กายอยู่ดี จะเอาการขับแรง ขับชน มาโมเมว่ามีคนได้รับบาดเจ็บ แล้วลงโทษเขาไม่ได้นะ
ศาลฎีกาจึงออกแรง พิพากษายกฎีกาโจทก์เสีย ให้เป็นไปตามที่ศาลอุทธรณ์ว่าไว้ จำเลยทั้งสองจ่ายค่าปรับคนละ 500 บาท กลับบ้านไปเถิด
เวลามีเหตุทางจราจร เราจะเลิกลั่กดูว่า มีใครได้รับบาดเจ็บไหม ไม่ว่าคนขับ ผู้โดยสาร หรือคนที่อยู่นอกรถ ถ้าไม่มีใครเป็นอะไรเลย หรือแค่ขัดยอก ถลอกนิด ช้ำหน่อย แบบว่าไม่ต้องรักษาก็หายเอง ทุกฝ่ายโล่งอก แม้จะชนกันแรง รถพัง ขนาดไหน ก็ยังยิ้มออก คุกตะรางไม่ถามหา คุยกันเรื่องค่าเสียหายลูกเดียว
อย่างว่า ตอนรถเฉี่ยวชน ไม่มีใครเจ็บ แต่ตอนเห็นรถตูพังยับ แล้วโก่งคอเถียงกันไม่ตกฟากว่าใครผิด อาจเกิดการบาดเจ็บตามมา เพราะลงไม้ลงมือ พร้อมลงมีด อย่างนี้ตะรางเหมือนกันนะนายจ๋า...
จากคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1770/2516
เรื่องโดย : จอมยุทธ
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน กรกฏาคม ปี 2556
คอลัมน์ Online : ร่มไม้ชายศาล
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/91321