ระหว่างเพื่อน
มาร์กาเรท แธทเชอร์
มาร์กาเรท แธทเชอร์ อดีตนายกรัฐมนตรีหญิงสหราชอาณาจักร ถึงแก่อสัญกรรมด้วยวัย 87 ปี เมื่อวันที่ 8 เมษายน 2013 เป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกและคนเดียวที่ขึ้นนั่งบัญชาการเก้าอี้สูงสุดของประเทศยาวนาน ตั้งแต่ปี 1979-1990
นายกรัฐมนตรีหญิงในโลกมีหลายท่าน แต่ มาร์กาเรท แธทเชอร์ ท่านเดียวที่ผมรู้จักเป็นคนแรก เนื่องจากการที่ท่านประกาศสงครามชิงเกาะโฟล์คแลนด์กับอาร์เจนตินา ในปี 1982
เมื่อท่านถึงแก่อสัญกรรม โลกก็กล่าวขวัญถึงเพราะชื่อของท่านยังอยู่ครบทุกตัวอักษร
ในบรรดาประเทศต่างๆ ทั่วโลก อังกฤษ มีความสนิทสนมกับสหรัฐอเมริกามากที่สุด ดังนั้น เมื่ออดีตนายกรัฐมนตรีหญิงแธทเชอร์ถึงแก่อสัญกรรม หลายท่านในสหรัฐ ฯ จึงพากันแสดงความระลึกถึง ตั้งแต่ท่านประธานาธิบดีโอบามา อดีตประธานาธิบดี และประธานสภา จนถึงดาราภาพยนตร์ฮอลลีวูด
ท่านเป็นบุตรสาวเจ้าของร้านขายเครื่องชำ และก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของอังกฤษ ท่านได้พิสูจน์ให้ลูกสาวของพวกเราเห็นว่า ไม่มีกระจกเพดานที่ไหนจะแตกไม่ได้ ประธานาธิบดี บารัค โอบามา กล่าวด้วยความอาลัย
แน่นอน ท่านผู้นำสหรัฐ ฯ เรียกร้องให้สตรีชาวอเมริกัน คำนึงถึงความใฝ่ฝันของผู้คน ที่ทุกคนทุกเชื้อชาติอาจประสบความสำเร็จ
แธทเชอร์ ได้ฉายานามว่า หญิงเหล็ก ซึ่งผู้สื่อข่าวชาวสหภาพโซเวียตเป็นผู้ขนานนาม ได้รับบรรดาศักดิ์เป็น บารอนเนสส์ และเป็นอดีตหัวหน้าพรรคอนุรักษนิยมระหว่างปี 1975-1990
บิลล์ คลินทัน อดีตประธานาธิบดีสหรัฐ ฯ ยกย่องความเป็นผู้กล้าของหญิงเหล็ก และตนเชื่อว่า ภาพที่คนอเมริกันจะไม่เคยลืม คือ ภาพที่ แธทเชอร์ ยืนเคียงบ่าเคียงไหล่กับท่านประธานาธิบดี รอนัลด์ เรแกน สร้างความมั่นใจให้แก่พวกเราว่า
โลกที่เราอาศัยอยู่ไม่ควรปล่อยวางไปตามประวัติศาสตร์ปัจจุบัน หากแต่เป็นสิ่งที่พวกเราสามารถหล่อหลอมรูปทรงของมันได้ ด้วยจริยธรรมและความกล้าเหมือนธาตุเหล็กกล้ากระนั้น
ฉายา หญิงเหล็ก ของท่าน ได้มาเพราะสไตล์แห่งความเป็นผู้นำ มีความแข็งกร้าว ความสมยอมทางด้านการเมืองหายากมากจากสตรีท่านนี้
หาที่ไหนได้ นายกรัฐมนตรีหญิงประกาศสงครามรบกับอาร์เจนตินา ในปี 1982 ชิงเกาะโฟล์คแลนด์คืนมาเป็นดินแดนอยู่ภายใต้อธิปไตยและบูรณภาพของสหราชอาณาจักรดังเดิม ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนี้ ขับเคลื่อนให้ แธทเชอร์ ได้เป็นนายกรัฐมนตรีหญิงสมัยที่ 2 ในปีต่อมา 1983
และ แธทเชอร์ ยังได้เป็นนายกรัฐมนตรีหญิงสมัยที่ 3 ติดต่อกันในปี 1987 ซึ่งต่อมาในปี 1990 วันที่ 28 พฤศจิกายน แธทเชอร์ ก็ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เพราะเป็นนายกรัฐมนตรีที่ไม่ยอมเสียเอกราช ต่อการเข้าเป็นสมาชิกเศรษฐกิจประชาคมยุโรป ซึ่งนำไปสู่การโต้แย้งภายในพรรคอนุรักษนิยม และการถกเถียงกับฝ่ายค้าน
แธทเชอร์ เป็นบุตรสาวเจ้าของร้านชำ อัลฟเรด โรเบิร์ทส์ บิดาของท่านมีร้านขายของชำอยู่ในเมืองกแรนแธม 2 แห่ง พักอาศัยอยู่ในฟแลทริมทางรถไฟ เป็นผู้สนใจงานทางการเมือง และเคร่งศาสนานิกายพโรเทสแตนท์ นิกายเมโธดิสม์ ได้เป็นนายกเทศมนตรีเมืองกแรนแธมในปี 1945-1946
มาร์กาเรท แธทเชอร์ สนใจการเรียนจนได้รับทุนหลวง ชอบเล่นเพียโน ชอบกีฬาฮอคคีสนาม และการว่ายน้ำ
เมื่ออายุ 21 ปี แธทเชอร์ ได้รับเลือกตั้งเป็น นายกสมาคมอนุรักษนิยมมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด ได้รับอิทธิพลด้านการทำงานทางการเมืองจากมหาวิทยาลัย หลังจากรับปริญญาแล้วแธทเชอร์ ย้ายมาอยู่ที่โคลเชสเตอร์ รับจ้างเป็นนักวิเคราะห์เคมีให้กับบริษัท บีเอกซ์ พลาสติค
ต่อมาได้ย้ายมาอยู่ที่ดาร์ทฟอร์ด เพื่อลงเลือกตั้งกุมภาพันธ์ 1951 รับจ้างเป็นนักวิเคราะห์เคมีให้กับบริษัท เจ ลียงส์
ในปีเลือกตั้ง สื่อยกให้เป็น ผู้สมัครเลือกตั้งที่อายุน้อยที่สุด และเป็นผู้สมัครคนเดียวที่เป็นผู้หญิง
ชีวิตสมรสของท่าน เริ่มแต่เดือนธันวาคม 1951 โดยคู่สมรสของท่านก็คือ เดนนิส แธทเชอร์ ผู้ให้การสนับสนุนงานทางการเมือง ซึ่ง 2 ปีต่อมาก็ให้กำเนิดแฝด ทั้ง แครอล และมาร์ค
ท่านลงเลือกตั้งในปี 1955 แต่ไม่สำเร็จ จนกระทั่งปี 1959 จึงได้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ได้รับความไว้วางใจจากประชาชนด้วยนโยบายที่แข็งกร้าวเพื่อเรียกร้อง สิทธิเสรีภาพในคุณค่าแห่งความเป็นมนุษย์
ณ วันที่ 4 พฤษภาคม 1979 วันที่ท่านเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของอังกฤษ ท่านได้เดินทางเข้าบ้านเลขที่ 10 ถนนดาวนิงในกรุงลอนดอน พร้อมกับยกคำสวดใน PRAYER OF SAINT FRANCIS ประโยคต่อไปนี้ กล่าวกับคณะรัฐมนตรี
หากมีข้อขัดแย้ง เราจงอยู่ร่วมกันโดยสันติ, หากมีข้อผิดพลาด เราจงเอาความจริงออกมา, หากมีข้อสงสัย เราจงใช้ความเชื่อมั่น และหากมีความสิ้นหวัง ขอพวกเราจงให้โอกาส"
ก่อนหน้า 2 ปี แธทเชอร์ ได้เป็นหัวหน้าพรรคอนุรักษนิยม แทน เอดเวิร์ด ฮีท ด้วยการนำ โดย แธทเชอร์ พรรคอนุรักษนิยมได้กลายเป็นพรรคขวาจัดมากขึ้น ทำให้การเมืองและสังคมของประเทศอังกฤษแบ่งขั้วมากที่สุดนับแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2
รัฐบาล แธทเชอร์ ได้ใช้นโยบายปฏิรูปที่ค่อนข้างรุนแรง สนับสนุนกิจการเอกชน แปรรูปรัฐวิสาหกิจทั้งอุตสาหกรรมและสาธารณูปโภคที่รัฐบาลก่อนๆ ยึดเป็นของรัฐ คืนให้กับเอกชนด้วยการกระจายหุ้น ลดบทบาทสหภาพแรงงาน ลดภาษีเงินได้ และพยายามจัดตั้งบรรษัทขึ้นดูแลการศึกษาและสาธารณสุขที่เป็นหน้าที่ของรัฐ
เมื่อ แธทเชอร์ ได้รับเลือกกลับเข้ามาเป็นรัฐบาลวาระที่ 2 ในปี 1983 โดยได้รับเสียงข้างมากทั้งๆ ที่อัตราการว่างงานของอังกฤษต่ำที่สุดในรอบ 50 ปี
สงครามโฟล์คแลนด์และความระส่ำระสายของพรรคฝ่ายค้าน ทำให้ความนิยม แธทเชอร์ เพิ่มมากขึ้นและได้รับเลือกกลับเข้ามาเป็นรัฐบาลวาระที่ 3 ในปี 1987 และเมื่อถึงปี 1988 แธทเชอร์ ได้ทำสถิติกลายเป็นนายกรัฐมนตรีอังกฤษที่อยู่ในตำแหน่งนานที่สุดในคริสต์ศตวรรษ ที่ 20
แธทเชอร์ ยังได้รับการขนานนามว่า ลัทธิแธทเชอร์ (THATCHERISM) และด้วยเหตุผลที่ แธทเชอร์ เป็นผู้ดึงดัน ยึดมั่นในนโยบายอย่างมั่นคง ไม่ว่าจะถูกคัดค้านจากนักวิจารณ์อย่างไร รวมทั้งจากการกังขาไม่แน่ใจของผู้สนับสนุนรัฐบาลเองด้วย
เฮนรี คิสซิงเกอร์ อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ สมัยประธานาธิบดีนิกสันและประธานาธิบดีฟอร์ดกล่าวกับ CNN ว่า
ท่านเป็นสตรีที่รู้ว่า คนที่จะเป็นผู้นำประเทศนั้นต้องมีความเชื่อมั่นอย่างแรงกล้าต่อสิ่งที่กระทำ เพื่อนำพาสังคมแห่งประเทศชาติด้วยความเป็นผู้นำ
ทางด้านรัสเซีย มิคาเอล โกร์บาชอฟ อดีตนายกรัฐมนตรีวัย 82 ปี กล่าวว่า อสัญกรรมของ มาร์กาเรท แธทเชอร์ เป็นความเศร้าสลด และยกย่องเป็นนักการเมืองผู้ใหญ่ยิ่งซึ่งจะอยู่กับความทรงจำและประวัติศาสตร์ของพวกเรา
วลาดิมีร์ ปูติน ประธานาธิบดีกล่าวว่า เป็นการสูญเสียนักการเมืองผู้แกร่งกล้า มาร์กาเรท แธทเชอร์ เป็นต้นแบบแห่งความกล้าของความเป็นผู้นำ
การเงินและการคลังของสหราชอาณาจักรทุกวันนี้ บารอนเนสแทตเชอร์ มีส่วนร่วมในการสร้างด้วยความแข็งขัน ท่านเป็นนายกรัฐมนตรีที่มีความเป็นผู้นำของประเทศอย่างไร้ข้อตำหนิ สมกับภาษิตอังกฤษที่ว่า
A PEOPLE DESERVES ITS OWN GOVERNMENT.
เรื่องโดย : บรรเจิด ทวี
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน มิถุนายน ปี 2556
คอลัมน์ Online : ระหว่างเพื่อน
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/90972