ร่มไม้ชายศาล
ตำแหน่งใหญ่ไม่เอา
สิ่งที่คนขับรถยนต์ในบ้านเรารู้สึกกลัวคืออะไร คำตอบตรงกันอย่างหนึ่ง คือ ตำรวจ แต่กลัวแบบไทยๆ หมายถึง กลัวใบสั่ง หรือคันไถ สรุปคือ กลัวเสียสตางค์ ไม่ว่าจะเป็นคนมีสตางค์ หรือยากจนก็ตาม ไม่ได้กลัวผลของการบังคับใช้กฎหมาย กฎกติกาในการใช้รถใช้ถนนอันเข้มงวด แล้วสูญเสียสิทธิ์ในการขับรถ หรือโดนมาตรการลงโทษเข้มข้นจริงจัง เหมือนอย่างประเทศที่พัฒนาแล้ว
กลัวแบบลิงหลอกเจ้า เจอตำรวจ เสียอัฐไปหยกๆ ก็กล้าทำผิดแทบในทันที เช่น การขับรถเร็ว การห้ามจอด เป็นบ้านเมืองที่มีตำรวจ มีกฎหมายก็จริง แทบจะไม่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาให้การขับรถดีขึ้น ปลอดภัยมากขึ้น แย่อย่างไรก็เป็นอยู่อย่างนั้น หรือหนักกว่าเก่า เชื่อว่าจะเป็นอยู่อย่างนี้ จนกว่าผมและท่านผู้อ่านจะตายไปจากโลกนี้แล้ว ยังยากที่จะหวังว่ามันดีขึ้น
เอาง่ายๆ มอเตอร์ไซค์ก็สไตล์เดียวกับรถยนต์ เรื่องสวมหมวกนิรภัย ทุกวันนี้กลายเป็นข้อกำหนดที่สร้างรายได้ส่วนตนให้แก่ตำรวจ ค่อนข้างเป็นกอบเป็นกำ ทั้งตำรวจและชาวบ้านเล่นซ่อนหา พลาดตำรวจก็อด พลาดชาวบ้านก็เสียสตางค์ มีแค่นี้ ไม่เกิดมรรคผลตามเจตนารมณ์ของกฎหมายเลย ท่านที่ขับรถนอกเมือง หรือทางยาว คงสังเกตได้อีกอย่าง คนขี่มอเตอร์ไซค์ตะบึงรถด้วยความเร็วไม่น้อย ล้ม หรือเฉี่ยวชน ตายกับตาย กลับไม่สวมหมวกกันนอค คิดว่าตูสบาย เย็นหัวเย็นหูดี ตำรวจไม่มีปัญญาดักจับบังคับให้จ่ายเงินหรอกวะ พอขี่คลาน ขี่ช้าๆ ในเมือง เป็นอะไรแค่ถลอก รีบสวมหมวกนิรภัย เข้าข่ายลิงหลอกเจ้าอีกเหมือนกัน ไม่ได้เคารพกฎ ไม่ได้ระวังรักษาแม้กระทั่งชีวิตตนเอง รถยนต์ หรือรถอื่นๆ ไปเกี่ยวข้อง ตายโหงขึ้นมา ซวยหลายลูก ไม่ใช่ลูกเดียว นี่คือ ไทยแลนด์โอนลีอย่างหนึ่ง โดยผมของดคำว่ามึงกูตะพึด อย่างที่คนอื่นเขาทำ มือไม่ถึง ละเอียดไม่ถึง สงสารภาษาไทย
ตามมาติดๆ ด้วยคดีความเพื่อให้คึกคักอย่างเคย
นายรวยจริง แกอยากเปลี่ยนชื่อก่อนค้าความ แต่ทำไม่ทัน กัดฟันกรอดๆ ไปที่ศาลแรงงานกลาง ยื่นฟ้อง "บริษัท นัวเนียเอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด ค้าอะไรไม่รู้ ทำไมชื่อค่อนข้างเซกซี โอดกาเหว่าต่อศาลว่า ตนเป็นลูกจ้างเขา ตำแหน่งพนักงานขับรถ ได้ค่าจ้างเดือนละ 7,570 บาท ได้ค่าเที่ยวตามจำนวนเที่ยวที่ขับรถในแต่ละเดือนอีกต่างหาก ตั้งแยะ รับเดือนละ 9,000 บาท จู่ๆ บริษัทมีคำสั่งย้ายให้ทำงานในตำแหน่งผู้ช่วยหัวหน้างานฝ่ายขนส่ง ญาติโยมดีใจ พากันเลี้ยงฉลองฐานะ โห หารู้ไม่ว่า ผมได้รับเงินเดือนอย่างเดียวไม่ถึง 9,000 บาท สาหัส คือไม่ได้เงินค่าเที่ยว หมายถึง เที่ยวของรถที่ขับ ไม่ใช่ค่าไปเที่ยวเตร่ แบบนั้นไม่มีบริษัทไหนเขาให้หรอก ผมรู้ ยกเว้นรับราชการ หรือนักการเมืองบางประเทศ ได้ค่าเที่ยวเมืองนอกด้วยปะไร อย่างนี้มันเป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้าง และกลั่นแกล้ง ทำให้ผมมีรายได้ลดลงตั้งเยอะ เดือน 1 เกือบ 8,000 บาท เป็นอย่างต่ำ ไปเป็นหัวหน้าก็ไม่เอา อย่าว่าแต่ผู้ช่วยหัวหน้า ขอให้ศาลบีบเค้นบริษัท นัวเนียเอ็นเตอร์ไพรส์ ฯ เพิกถอนคำสั่ง ให้ผมไปทำงานพนักงานขับรถอย่างเดิม ไม่งั้นเลี้ยงครอบครัวไม่ได้
บริษัท ฯ สู้คดี แจงว่า การโยกย้ายตำแหน่งหน้าที่เป็นอำนาจบริหารที่บริษัท ฯ ทำได้ ที่มีคำสั่งให้ นายรวยจริง ย้ายจากตำแหน่งพนักงานขับรถ ไปทำงานตำแหน่งรักษาการผู้ช่วยหัวหน้างานฝ่ายขนส่ง โดยคงสภาพการจ้างและสวัสดิการเหมือนเดิม การย้ายแบบนี้ ไม่ได้กลั่นแกล้ง เพราะตำแหน่งใหม่สูงกว่าเดิม ส่วนเงินค่าเที่ยวเมื่อ นายรวยจริง ไม่ได้ทำหน้าที่ขับรถ จึงไม่มีสิทธิ์ได้รับเงินดังกล่าว นายรวยจริง เคยร้องต่อคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ว่าบริษัท ฯ กระทำการอันไม่เป็นธรรม คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ได้สอบพยานและวินิจฉัยแล้วว่า บริษัท ฯ ไม่ได้กลั่นแกล้ง ไม่ได้กระทำการอันไม่เป็นธรรม ยกคำร้องของ นายรวยจริง จึงขอให้ศาลยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาฟังความทั้ง 2 ฝ่าย และได้ความเชิงลึกเพิ่มเติม ซึ่งท่านผู้อ่านจะได้เห็นในคำตัดสินของศาลฎีกา แล้วร้องว่า เออมันใช่อย่างที่ นายรวยจริง ว่า เขาโดนกลั่นแกล้งนี่นา จึงตัดสินให้บริษัท ฯ แพ้คดี ให้เพิกถอนคำสั่งอวยตำแหน่ง แต่เงินลดลง ออกคำสั่งใหม่ ให้ นายรวยจริง ไปเป็นโชเฟอร์บริษัท ฯ มีรายได้อย่างเดิม
บริษัท นัวเนียเอ็นเตอร์ไพรส์ ฯ ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ยื่นอุทธรณ์ไปยังศาลฎีกา ตามสเตพของคดีแรงงาน
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงาน ต้องใช้แรงอึด คว้าสำนวนคดีนี้ที่มาถึงคิว เพ่งพิจารณาแล้วชี้ออกมาว่า
ได้ความเชิงลึกว่า นายรวยจริง เป็นผู้ร่วมก่อตั้งสหภาพแรงงานขับรถขนส่งสินค้าในบริษัท ฯ แถมยังเป็นประธานสหภาพแรงงานกับกรรมการลูกจ้าง 6 เดือน เบาซะที่ไหน เมื่อบริษัท ฯ ย้าย นายรวยจริง แล้วไม่ได้มอบหมายงานที่มุ่งหมายแก้ปัญหาในการปฏิบัติงานให้ทำ รู้นะว่าตัวย้ายเขา เพราะไม่พอใจที่ นายรวยจริง มีส่วนร่วมในการก่อตั้งสหภาพแรงงานและเป็นกรรมการลูกจ้าง ตำแหน่งใหม่ได้เงินเดือนเพิ่มก็จริง เมื่อบวกกับเงินค่าอาหารและผลประ โยชน์ หรือเงินเพิ่ม ยังแตกต่างกันเยอะกับตำแหน่งเดิม ทำให้ นายรวยจริง ได้ค่าจ้าง และผลประโยชน์ลดลง เพื่อไม่ให้แกทนทำงานขวางหูขวางตาต่อไปได้ อีแบบนี้ถือว่าไม่สุจริต กลั่นแกล้งเขา อย่างที่ศาลชั้นต้นฟังมาและตัดสินยกฟ้อง
ศาลฎีกาจึงยอมเมื่อยขาอีกหน พิพากษายืน ให้ นายรวยจริง ชนะคดีอย่างเด็ดขาด
ที่ไหนมีความพอเหมาะพอดี และลงตัว ก็อยู่กันได้อย่างสงบ ที่ไหนขัดแย้งโดยเฉพาะเรื่องผลประโยชน์ มันก็อยู่กันลำบาก นายจ้างลูกจ้างเป็นเหมือนน้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า ปทุมถันต้องพึ่งยกทรง ขาดกันไม่ได้ มีแต่นายจ้าง มันก็ทำอะไรไม่สำเร็จ รวยไม่ได้ ลูกจ้างไม่มีงานดีๆ ให้ทำก็ตาเหลือก เมื่อร่วมวงทำงานกันไป เข้าขาแบ่งปันกันพองามก็แล้วไป ดูแล้ว ลูกจ้างก็หาว่านายจ้างเอาเปรียบ นายจ้างก็หาว่าลูกจ้างเอาเปรียบ มักจะอยู่กันยาก ในที่สุดศาลมีงานทำ แพ้ชนะคดีแล้วอย่าคิดว่าจบ อาจไปล่อกันนอกเวทีอีกก็ได้ ในโลกนี้ถ้าใครไม่รู้จักคำว่า พอ อ้อ พอของแต่ละคนไม่เท่ากันซะด้วยสิ ก็หนีไม่พ้นความยุ่งยากนั่นแล
จากคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5462/2555
เรื่องโดย : จอมยุทธ
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน พฤษภาคม ปี 2556
คอลัมน์ Online : ร่มไม้ชายศาล
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/90960