รู้ลึกเรื่องรถ
เบรค...ยาง...อันตรายถึงชีวิต
มีเจ้าของรถหลายคนถามว่า น้ำมันคลัทช์ของรถที่ใช้คลัทช์แบบไฮดรอลิค (คือแบบที่ไม่ใช่สายลวด) นั้น ต้องเปลี่ยนน้ำมันทุกปีเหมือนน้ำมันเบรคหรือไม่ เพราะคลัทช์ระบบนี้ใช้น้ำมันเหมือนกับที่ใช้กับน้ำมันเบรคทุกอย่าง แต่ในคู่มือประจำรถและคอลัมน์เกี่ยวกับการบำรุงรักษารถ มักจะกำหนดให้เปลี่ยนน้ำมันเบรคอย่างเดียว ไม่มีการกล่าวถึงน้ำมันคลัทช์
ที่เป็นเช่นนี้เพราะ น้ำมันเบรคมีผลต่อความปลอดภัย ส่วนน้ำมันคลัทช์นั้นไม่ น้ำมันเบรคที่เราใช้กันอยู่ทั่วไปนั้น กระหายน้ำ อยู่เสมอ มันจะดูดซับไอน้ำในอากาศเข้าไว้ในตัวตลอดเวลา เมื่อมีปริมาณน้ำมากขึ้น จุดเดือดของน้ำมันเบรคก็จะต่ำลง คือ เดือดง่ายขึ้นนั้นเอง
ถ้าปล่อยให้น้ำมันเบรคดูดน้ำไปเรื่อยแรมปีโดยไม่เปลี่ยนใหม่ จนกระทั่งวันใดเคราะห์หามยามร้ายระบบเบรคถูกใช้งานหนัก เช่น ขับรถลงเขาชันต่อเนื่องเป็นเวลานาน จานเบรค ผ้าเบรค ก้ามเบรค และที่สำคัญ คือ น้ำมันเบรคร้อนจัดจนอุณหภูมิสูงเกินจุดเดือดของมันขณะนั้น น้ำมันเบรคส่วนหนึ่งจะกลายเป็นไออยู่ในระบบ
เรียกให้เห็นภาพง่ายขึ้น ก็ต้องบอกว่าเป็นฟองลูกใหญ่เอาการหลายลูก ซึ่งจะเกิดตอนเราถอนเท้าจากแป้นเบรคชั่วคราว ทำให้ความดันของน้ำมันเบรคลดลงจนเดือดได้ วินาทีมรณะเกิดขึ้นเมื่อเราเหยียบเบรคอีกครั้ง ฟองที่เกิดอยู่มากมายในระบบ และมีปริมาตรมากกว่าปริมาตรแทนที่ของลูกสูบในแม่ปั๊มเบรคจะหดตัวลงเท่ากับปริมาตรที่ถูกแทนที่ ที่ร้ายหนักเข้าไปอีก คือ เราไม่สามารถย้ำแป้นเบรคซ้ำเพื่อช่วยแก้ปัญหา เหมือนในกรณีที่แหวนยางในแม่ปั๊มเบรคเสื่อมสภาพ เพราะเมื่อถอนเท้าจากแป้นเบรค ความดันในระบบเบรคจะลดลง น้ำมันเบรคจะเดือดเป็นฟองเพิ่มอีก ตราบใดที่ยังมีฟองอยู่ในระบบเบรค ความดันของน้ำมันเบรคทั้งระบบจะสูงได้เพียงค่าความดันของไอน้ำมันเบรคเท่านั้น ซึ่งน้อยนิดไม่เพียงพอต่อการดันให้ผ้าเบรคบีบจนเบรคได้ แป้นเบรคจะ นิ่ม หรือ หยุ่น เหยียบได้จนยันพื้นรถ
มีผู้เสียชีวิตด้วยสาเหตุนี้อยู่เสมอทางภาคเหนือ ซึ่งมีภูเขาสูงชันหลายแห่งแต่ไม่มีใครทราบสาเหตุ เพราะเมื่อชันสูตรซากรถ ก็จะพบว่าระบบเบรคทำงานได้เป็นปกติ เพราะน้ำมันเบรคเย็นแล้ว ก็ต้องโทษภูตผีวิญญานกันไปตามถนัดละครับ
ระบบคลัทช์ไฮดรอลิคในเกียร์ธรรมดาไม่มีปัญหานี้ เพราะน้ำมันคลัทช์อุณหภูมิไม่สูงถึงขั้นเกิดปัญหาได้ แต่ผมอยากแนะนำให้เปลี่ยนพร้อมกับน้ำมันเบรค แม้ว่าเครื่องมือใช้รถจะไม่ได้เอ่ยถึงเลยก็ตาม เพราะน้ำมันคลัทช์ (ซึ่งก็คือน้ำมันเบรคนั่นเอง) ที่อมน้ำไว้มาก จะทำให้ชิ้นส่วนภายในเป็นสนิม เช่น ผนัง และลูกสูบของทั้งตัว
แม่ปั๊มและลูกปั๊ม ช่างซ่อมที่ไม่มีความรู้เกี่ยวกับคุณสมบัติของน้ำมันเบรคมักจะแปลกใจถึงขั้นตามเพื่อนมาดูเสมอว่าสนิมเกิดขึ้นกับเหล็กที่แช่อยู่ในน้ำมันได้อย่างไร แม่ปั๊มและลูกปั๊มคลัทช์ที่ขึ้นสนิมนี้จะเสื่อมสภาพได้อย่างรวดเร็ว (ช่างมักเรียกว่าผนังกระบอกสูบเป็น ตามด ) การเปลี่ยนน้ำมันคลัทช์ทุกปี (ผมว่าทุกๆ 6-8 เดือนยิ่งดีครับ) ช่วยยืดอายุชิ้นส่วนเหล่านี้ได้มาก ซึ่งแต่ละชิ้นก็ราคาสูงเอาการ เทียบกับราคาน้ำมันคลัทช์เพียงไม่กี่ร้อยบาทแล้ว ต้องเรียกว่า เกินคุ้ม ครับ
มีผู้สงสัยกันมากว่า จำเป็นจะต้องใช้ยางยี่ห้อเดียวกัน รุ่นเดียวกันทั้ง 4 ล้อ หรือไม่ ขอตอบสั้นๆ ก่อนอธิบายเหตุผลว่า จำเป็นครับ ที่ผมเขียนว่ารุ่นเดียวกันทั้ง 4 ล้อ นี่หมายถึง รถส่วนใหญ่เกือบทั้งหมดในโลกนี้ มียกเว้นอยู่บ้างในรถสปอร์ทบางรุ่น ซึ่งในยางหน้าคนละขนาดกับยางหลัง แต่ควรต่างกันเพียงขนาดนะครับ ขอให้ใช้รุ่นเดียวกันยี่ห้อเดียวกันตามที่ผู้ผลิตรถเขากำหนดไว้
ถ้าเราขับรถซึ่งอยู่ในสภาพสมบูรณ์บนถนน ซึ่งไม่เอียงและไม่มีลม แล้วเราจับพวงมาลัยนิ่งไว้ ให้รถแล่นตรง เราจะสังเกตได้ว่า เมื่อมีลมปะทะด้านข้างหรือถนนลาดเอียง รถของเราจะแล่นเป็นแนวเฉียงจากทิศเดิมได้โดยที่เราไม่ได้ขยับพวงมาลัยเพื่อเลี้ยวแม้แต่น้อย
เหตุที่ล้อกลิ้งเป็นแนวเฉียงได้ เมื่อมีลมมากระทำด้านข้าง ทั้งๆ ที่แกนล้อยังอยู่ในทิศเดิมนั้น เพราะยางของรถเราเป็นของอ่อนซึ่งบิดตัวได้ มุมที่เกิดขึ้นจากความแตกต่างของแนวที่ล้อกลิ้งกับแนวที่เคลื่อนที่ไปจริงๆ นี่เราเรียกว่ามุมสลิพ ( SLIP ANGLE) ซึ่งจะมีค่ามากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับรูปแบบโครงสร้างของยาง เนื้อยาง ดอกยาง และความดันลมยาง และขึ้นอยู่กับแรงที่มากระทำด้านข้างด้วย ถ้าแรงนี้มีแค่สูง ล้อของเราย่อมกลิ้งเป็นแนวเฉียงจากทิศเดิมมากอย่างแน่นอนครับ
ถ้าไม่นับค่าของแรงที่มากระทำด้านข้างและความดันลมยางแล้ว ก็ต้องบอกว่ามุมสลิพของยางต่างกัน ตามแต่รุ่นและยี่ห้อของยาง (ซึ่งแตกต่างกันที่โครงสร้าง เนื้อที่ยาง ดอกยาง) มุมนี้มีผลอย่างยิ่งต่อการทรงตัวของรถ ผู้ผลิตจะต้องเลือกยางและปรับระบบรองรับให้เหมาะสม ทำงาน เข้าขากัน รถจึงจะมีการเกาะถนนทรงตัวที่ดีและปลอดภัย
ผู้ใช้มีหน้าที่เลือกใช้ยางตามที่ผู้ผลิตรถเขากำหนดไว้อย่างเคร่งครัด ในคู่มือประจำรถมักบอกเพียงขนาดและระดับความเร็วสูงสุดของยางไว้เท่านั้น ถ้าเป็นรถความเร็วสูงบางรุ่น ผู้ผลิตจะกำหนด ยี่ห้อ และรุ่นของยางตายตัวลงไปนอกนั้นใช้วิธี ละไว้ในฐานที่เข้าใจ ว่าจะต้องเป็นยางยี่ห้อเดียวกันทั้ง 4 ล้อ
เมื่อโรงงานรถยนต์ปรับระบบรองรับให้เกาะถนนและปลอดภัยภายใต้เงื่อนไขว่าต้องเป็นยางรุ่นเดียวกัน ยี่ห้อ เดียวกันทั้ง 4 ล้อ ผู้ใช้รถจึงต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด กรณีที่ไม่สามารถปฏิบัติตามได้ อนุโลมให้เพียงความแตกต่างระหว่างยางคู่หน้าและคู่หลังเท่านั้น (ประเภทต่างกันหมดทั้ง 3 หรือ 4 ล้อนี่ไม่ไหวครับ) และมีข้อแม้ที่สำคัญมากประกอบด้วย คือ ให้เอายางที่มีมุมสลิพกว้างกว่าไว้ที่ล้อหน้า
ปัญหามีอยู่ว่า เจ้าของรถจะทราบได้อย่างไรว่ายางรุ่นไหนมีมุมสลิพกว้างกว่า มีวิธีสังเกตได้ง่าย แต่ต้องเหนื่อยกันหน่อยครับ คือ ลองเอายางคู่ใดคู่หนึ่งไว้ด้านหน้าแล้วลองขับโดยสังเกตความไวของรถในการตอบสนองต่อพวงมาลัย หลังจากนั้นย้ายยางคู่นี้ไปแลกกับล้อหลังทั้งคู่ (อย่าลืมปรับลมยาง) ลองขับอีกครั้งแล้วสังเกตว่า แบบใดที่ตอบสนองพวงมาลัยได้แย่กว่า หรือเฉื่อยกว่า แบบนั้นแหละครับคือแบบที่ปลอดภัย
ขอย้ำว่าปัญหานี้อันตรายถึงชีวิต ถ้าใช้งานในสภาพปกติอาจไม่เป็นไร แต่เมื่อใดที่ต้องหลบหลีกสิ่งกีดขวางที่ความเร็วสูง พฤติกรรมของรถจะแปรเปลี่ยนรวดเร็วจนกระทั่งผู้ขับแก้ไขไม่ทัน แม้จะมีฝีมือระดับนักแข่งก็ตาม โดยเฉพาะผู้ที่ใช้ยางเรเดียล ปนโครงสร้างธรรมดา ต้องเอายางเรเดียล (มุมสลิพแคบ) ไว้ที่ล้อหลังเท่านั้น ผู้ที่ปฏิบัติตรงกันข้ามนั้น กำลังเสี่ยงชีวิตโดยไม่จำเป็นจากความประมาทหรือความรู้เท่าไม่ถึงการณ์
มันเป็นเรื่องอันตรายถึงชีวิตจริงๆ ครับ
เรื่องโดย : เจษฎา ตัณฑเศรษฐี
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน มิถุนายน ปี 2556
คอลัมน์ Online : รู้ลึกเรื่องรถ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/90889