รถไฮบริดติดตราม้าลำพอง
LAFERRARI
ดังที่กล่าวไปแล้วในตอนต้นว่า ในรอบปี 2012 ค่าย แฟร์รารี สามารถขายรถสปอร์ทติดตรา “ม้าลำพอง” ในตลาดทั่วโลกได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึง 7,318 คัน คือ เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.5 จากตัวเลขที่เคยทำได้ในรอบปีก่อนหน้านั้น และสามารถทำกำไรสุทธิได้รวม 244 ล้านยูโร (ประมาณ 9,700 ล้านบาทไทย) หรือเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 17.8 จากตัวเลขที่ทำได้ในปี 2011
หากยึดตัวเลขเหล่านี้เป็นเกณฑ์วัด ก็น่าจะกล่าวได้ว่า ยอดผู้ผลิตรถสปอร์ทของเมืองมะกะโรนีไม่ได้รับผลกระทบใดๆ ในทางลบ จากปรากฏการณ์ที่คนรักรถทั่วโลกเริ่มหันมาใส่ใจกับรถยนต์ที่ไม่ทำร้ายสิ่งแวดล้อม อย่างไรก็ตาม เป็นที่ทราบกันดีในวงการรถสปอร์ทของทวีปยุโรปและสหรัฐอเมริกาว่า ค่าย แฟร์รารี เริ่มโครงการพัฒนารถไฮบริดที่ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงและปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์สูงจนเกินทนมาหลายปีแล้ว เป็นระบบไฮบริดที่ค่ายนี้ร่วมพัฒนากับมหาวิทยาลัยแห่งเมืองโมเดนาในอิตาลี และตั้งชื่อว่า HY-KERS ที่สุดโครงการพัฒนาดังกล่าวก็ผลิดอกออกผลให้เห็น ในรถสปอร์ทรุ่นใหม่เอี่ยมแกะกล่องติดป้ายชื่อ ลาแฟร์รารี (LAFERRARI) ซึ่งเพิ่งอวดตัวแบบ “ครั้งแรกในโลก” ที่งานมหกรรมยานยนต์เจนีวาเมื่อต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา
รถไฮบริดแบบแรกของค่าย “ม้าลำพอง” อยู่ในตัวถังยาว 4.702 ม. กว้าง 1.922 ม. และสูง 1.116 ม. ซึ่งมีช่วงฐานล้อยาว 2.650 ม. เป็นตัวถังที่ไม่ต้องเสียเงินจ้างสำนัก ปินินฟารีนา (PININFARINA) ออกแบบให้เหมือนรถติดตรา “ม้าลำพอง” ส่วนใหญ่ แต่ออกแบบขึ้นเองด้วยมันสมองและจินตนาการของทีมงานซึ่งมี ฟลาวีโอ มันโซนี (FLAVIO MANZONI) นักออกแบบชาวอิตาลีวัย 48 ปี ซึ่งเคยทำงานกับค่าย ลันชา (LANCIA) โฟล์คสวาเกน (VOLKSWAGEN) และ เซอัต (SEAT) มาก่อนแล้วเป็นผู้นำทีม
ตัวถังที่กล่าวข้างต้นติดตั้งระบบอากาศพลศาสตร์อย่างที่เรียกกันในภาษาอังกฤษว่าACTIVEAERODYNAMIC คือ ใช้อุปกรณ์อากาศพลศาสตร์ที่เคลื่อนไหวได้ และสามารถปรับเปลี่ยนลักษณะการทำงานได้ตามระดับความเร็วของรถและสภาพแวดล้อม เป็นระบบที่ผู้เชี่ยวชาญด้านอากาศพลศาสตร์ของ แฟร์รารี ยืนยันว่า “ให้ประสิทธิภาพสูงสุดเท่าที่เคยพบเคยเห็นกันในรถถนน”
ส่วนระบบขับไฮบริด HY-KERS ดังที่กล่าวข้างต้น ใช้เครื่องยนต์เบนซินฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง DOHC วี 12 สูบ 6,262 ซีซี 588 กิโลวัตต์/800 แรงม้า ซึ่งมีรอบสูงสุด 9,250 รตน. อันเป็นตัวเลขสถิติของเครื่องยนต์ขนาดนี้ ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 120 กิโลวัตต์/163 แรงม้า และแบทเตอรีหนัก 60 กก. ซึ่งมีการประจุไฟโดยอัตโนมัติ ทั้งเมื่อผู้ขับเหยียบห้ามล้อ และเมื่อเครื่องยนต์ให้แรงบิดสูงเกินความต้องการ เช่น ขณะรถวิ่งเข้าโค้งหรือเลี้ยวรถ ระบบขับไฮบริด HY-KERS ดังกล่าวนี้ ให้กำลังสุทธิสูงสุด 708 กิโลวัตต์/963 แรงม้า และให้แรงบิดสุทธิสูงสุดสูงกว่า 900 นิวตัน-เมตร/91.8 กก.-ม. ส่วนระบบเกียร์เพื่อส่งทอดกำลังสู่ล้อหลังเป็นเกียร์อัตโนมัติคลัทช์คู่ 7 จังหวะ
สมรรถนะความเร็วตามตัวเลขของค่าย “ม้าลำพอง” อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ทำได้ในเวลาต่ำกว่า 3.0 วินาที อัตราเร่ง 0-200 กม./ชม. ทำได้ในเวลาต่ำกว่า 7.0 วินาที และอัตราเร่ง 0-300 กม./ชม. ทำได้ใน 15 วินาที ส่วนความเร็วสูงสุด ก็ไม่ระบุตัวเลขที่แน่นอน บอกแต่เพียงว่า สูงกว่า 350 กม./ชม. ย้ำว่าพิมพ์ไม่ผิด ใช่แล้ว 350 กม./ชม.
ยังไม่มีการระบุตัวเลขเกี่ยวกับอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ซึ่งแน่นอนว่าต้องประหยัดกว่ารถที่ติดตั้งระบบขับแบบไม่ไฮบริด ส่วนอัตราการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ ตัวเลขเบื้องต้นที่ต้องมีการทดสอบยืนยันในภายหลัง เป็นตัวเลขที่ดูดีมากสำหรับรถระดับนี้ คือ แค่ 330 กรัม/กม.
เป็นรถค่าตัว 1.3 ล้านยูโร หรือเท่ากับประมาณ 49 ล้านบาทไทย ที่ค่าย “ม้าลำพอง” ตั้งใจจะทำขายแค่ 599 คัน (ตัวเลขที่ยังค้นไม่พบว่ามีที่มาที่ไปยังไง?) และข่าวดีสำหรับคนรักรถเงินถุงเงินถังสตางค์เหลือใช้ในบ้านเราที่อาจจะอยากซื้อรถรุ่นนี้ให้สาสมกับความรวยก็มีอยู่ว่า รถจำนวน 599 คัน ที่จะผลิตในช่วงเวลา 2 ปีข้างหน้านี้ ขายไปได้บ้างแล้ว แต่ยังไม่หมด !