รู้ไว้ใช่ว่า
ซื้อของข้างทาง/แซงเลย
ตามใจ คือ ไทยแท้ อีกอย่าง คือ "ขายของข้างทาง" กับ "จอดรถซื้อของข้างทาง" ในลักษณะหมิ่นเหม่ต่อการเกิดอุบัติเหตุเภทภัย ถึงตาย
ก็ดีอยู่หรอก เมื่อคนขายมีอาชีพ คนซื้อได้จับจ่ายโดยเฉพาะสินค้าท้องถิ่น หรือผลหมากรากไม้จากชาวไร่ชาวสวนโดยตรง ที่ไม่ดี คือ จุดขายมักไม่ปลอดภัยเท่าที่ควร บางแห่งคนขายพยายามวางตั้งสินค้าให้ชิดขอบถนนมากที่สุด หวังผลในการขายง่ายซื้อสะดวก ขณะเดียวกันผู้ที่หยุดรถลงไปซื้อ ก็ชะล่าใจ คิดว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรอกน่า
ทั้งๆ ที่มีคนเจ็บตาย รถราพังเสียหายเสมอๆ อย่าลืมว่า เสาไฟฟ้าเอย ต้นไม้เอย ตามปกติอยู่ห่างจากริมทางแทบทั้งนั้น ห่างกว่าการวางของขายริมถนนด้วยซ้ำ รถยนต์น้อยใหญ่ยังเข้าไปซัดมาแล้วไม่รู้เท่าไร ยิ่งเป็นถนนที่รถขับยาว ใช้ความเร็วไม่เบา ยิ่งพลาดง่าย แค่คนในรถกับคนขับ ชี้โบ้ชี้เบ้ให้ดูของที่แม่ค้าวางขาย แล้วลังเลจะจอดไม่จอด จะซื้อไม่ซื้อ หรือรถที่ผ่านมา วอกแวกสาละวนกับสมาร์ทโฟน หรือหลับใน คนซื้อคนขายของข้างทาง ก็เป็นเป้าตอร์ปิโดบกขนาดยักษ์ได้ทั้งนั้น
น่าแปลกที่หน่วยงานของรัฐซึ่งดูแลถนนหนทาง ไม่ค่อยสนใจเท่าที่ควร มีการจัดที่ทางให้บ้างบางแห่งเท่านั้น ปล่อยให้ชาวบ้านว่ากันเอง ตามบุญตามกรรม นี่คือ สไตล์ไทยแลนด์โอนลี นั่นเอง
ตามมาติดๆ ด้วยคดีความให้คึกคักอย่างเคย
งานนี้ศาลท่านชำแหละเรื่องการ "แซงรถ" ของเราๆ ท่านๆ มาดูสิว่าเป็นฉันใด
"นายไฟเขียว" เป็นคนก่อเหตุ จนมีข้อมูลให้ผมเอามาเขียน พี่แกขับรถบรรทุกไปตามถนน เมื่อเห็นรถ บรรทุกหินคันหนึ่งจอดอยู่ริมถนนด้านซ้าย แกก็ยังเดินหน้าไปตามปกติ แบบได้ไฟเขียวเหมือนชื่อ แล้วเบนรถออกทางขวา เพื่อแซงรถที่จอดอยู่ แบบไม่ดูตาม้าตาเรือ กินทางคร่อมเส้นทึบที่มีอยู่ตั้ง 2 เส้น จึงเฉี่ยวชนกับรถที่แล่นสวนทางมา คนขับรถคันนั้น คือ "นายสาหัส" ได้รับบาดเจ็บ แต่ไม่ถึงสาหัสเหมือนชื่อ
ศาลจึงมีงานทำ อันเกิดจากความชุ่ยของ นายไฟเขียว มีการฟ้องร้องเอาผิด ข้อหาขับรถประมาท และข้อหาทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นบาดเจ็บ โดยผู้ว่าคดีของศาลแขวงในขณะนั้น
นายสาหัส มีความโมโหเป็นทุน และได้รับคำแนะนำจากทนายว่า ต้องมัดด้วยคดีอาญาให้ได้ แล้วทุบด้วยคดีแพ่ง เพื่อเอาค่าเสียหายได้ไม่ยาก นายสาหัส จึงร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมกับผู้ว่าคดี ศาลอนุญาต
นายไฟเขียว จำเลย จ้างทนายสู้คดี ให้การปฏิเสธ อ้างว่าเป็นอุบัติเหตุ ตนจำเป็นต้องแซง ไม่งั้นชนท้ายรถบรรทุกหิน ไม่ได้ประมาท ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นออกนั่งบัลลังก์ฟังพยานหลักฐานของทุกฝ่ายแล้ว เห็นว่าเป็นอุบัติเหตุ ตัดสินยกฟ้อง นายไฟเขียว ได้เฮ และยิ้มเยาะ นายสาหัส
นายสาหัส เดินหน้ายื่นอุทธรณ์ ส่วนผู้ว่าคดีเอาด้วยกับคำตัดสินของศาลชั้นต้น ไม่อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เล็งดูคดีนี้แล้ว เห็นว่า นายสาหัส ไม่ใช่ผู้เสียหายในข้อหาขับรถประมาท ตาม พรบ. จราจร จึงเป็นโจทก์ร่วมไม่ได้ ส่วนข้อหากระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ นายสาหัส บาดเจ็บ เป็นโจทก์ร่วมได้ก็จริง แต่การยื่นอุทธรณ์มา เป็นการอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง อุทธรณ์ไม่ได้ ยกอุทธรณ์ทั้งหมด
นายไฟเขียว ยิ้มแป้นลงจากศาล ส่วน นายสาหัส เซ็งเป็ด กัดฟันเล่นเกมยาว ด้วยการยื่นฎีกา เพื่อเอาผิด นายไฟเขียว ให้ได้
ศาลฎีกางานเข้าไม่หยุด เสร็จคดีนั้นคว้าคดีนี้ เล็งดูจนได้ที่ แล้วชี้ขาดออกมา
การที่ศาลอุทธรณ์บอกว่า นายสาหัส เป็นโจทก์ร่วมในข้อหาขับรถโดยประมาทไม่ได้ ถูกต้องแล้วละ ส่วนข้อที่ศาลอุทธรณ์บอกอีกว่า ข้อหากระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ นายสาหัส ได้รับบาดเจ็บ เป็นการอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลฎีกาเห็นว่าไม่ถูกต้อง มันเป็นปัญหาข้อกฎหมาย ซึ่งมีการเถียงกันว่าเป็นกรณีอุบัติเหตุหรือเปล่า นายสาหัส จึงมีลุ้น และศาลฎีกาไม่ย้อนสำนวนให้ศาลอุทธรณ์ชำแหละ เสียเวลา ศาลฎีกาขอจัดการเอง และมองว่า
การที่ นายไฟเขียว ขับรถยนต์แซงรถบรรทุกหิน ซึ่งจอดอยู่ที่ขอบถนนด้านซ้าย ในเส้นทางของรถ นายไฟเขียว แต่ล้ำเข้าไปในเส้นทางของรถ นายสาหัส ที่กำลังสวนทางมา ตรงที่เกิดเหตุมีเส้นแบ่งแนวจราจรเป็นเส้นทึบคู่ ห้ามขับรถคร่อมไปตามเส้น หรือล้ำไปทางขวา เพื่อป้องกันอันตราย รถทั้ง 2 คันเลยชนกันในเส้นทางของรถ นายสาหัส นายไฟเขียว ไม่ได้ใช้ความระมัดระวังให้เพียงพอกับวิสัยและพฤติการณ์ ไม่มองไปข้างหน้าว่ามียานพาหนะอื่นสวนทางมาไหม เอาละ ถ้ามองไม่เห็นเพราะทางโค้งหรือสะพานบัง ก็ต้องชะลอรถให้ช้าลง เมื่อเห็นว่าปลอดภัยถึงค่อยแซงรถที่จอดอยู่ นายไฟเขียว กระทำโดยประมาท ไม่ใช่อุบัติเหตุ
ศาลฎีกาต้องยอมเวียนหัว พิพากษากลับ ลงโทษปรับนายไฟเขียวตั้ง 1,000 บาท
เฮ้อ ลงทุนลงแรง 3 ศาล นายไฟเขียว กับนายสาหัส ก็ต้องลงแรงลงทุนไม่น้อยเช่นกัน ผลสุดท้ายปรับ นายไฟเขียว ได้แค่ 1,000 บาท ตามอัตราโทษในสมัยนั้น จี้ดีเหมือนกัน หลักเกณฑ์ในการแซงรถที่ศาลฎีกาท่านว่าไว้ ยังใช้ได้ในตอนนี้ ไม่มีเปลี่ยนแปลง ระวังไว้ด้วยก็แล้วกัน
อ้อ กรมทางหรือกรมทางหลวงชนบท รวมทั้งจังหวัด อบจ. อบต. กรุณาดูแลจุดขายของข้างทางให้ชาวบ้านด้วยก็ดี จัดให้เขาอยู่ห่างจากข้างทางเสียหน่อย เพื่อความปลอดภัย และได้บุญ ก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน ก็ตายไป 3 เจ็บไม่นับ
จากคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2082/2517
เรื่องโดย : ณรงค์ นิติจันทร์
นิตยสาร 417 ฉบับเดือน มิถุนายน ปี 2556
คอลัมน์ Online : รู้ไว้ใช่ว่า
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/90768