X
Driven
Driving Impression
Test Drive
Test Drive Data
New Cars
รถใหม่ในประเทศ
รถใหม่ต่างประเทศ
News
ข่าวรอบโลก
ข่าวสารยานยนต์
All Around
เครื่องเสียง/Gadgets
แต่งรถ
ดูแลรักษารถยนต์
สาระสะใจ
วาไรตี้ยานยนต์
สถิติยอดจำหน่ายรถยนต์
TV Programs
รายการ โลกรถยนต์
รายการ Carnatomy
รายการ พี่น้องลองรถ
รายการ เรื่องรถ…เรื่องง่าย
รายการ คุณลุงใจดี
About Autoinfo
About Us
Advertise With Us
Privacy Policy
Terms of use
Car Buyer's Guide
ติดตามเราได้ทาง
X
Popular search in Autoinfo
50,000+ contents and images from writers
#1
Deepal S07
Hilux Champ
BYD Seal
BYD
NETA
TATA
หัวชาร์จรถ EV
รถกระบะ
ยอดขายรถยนต์
ราคารถยนต์
รถ EV
เปิดตัวรถใหม่
วิธีไหว้แม่ย่านาง
ฤกษ์ออกรถใหม่
พ่วงแบทเตอรี
วิธีดูแลรักษารถยนต์
ต่อภาษีรถยนต์ออนไลน์
DIY...คุณทำเองได้
1 Jun 2013
เปลี่ยนน้ำในหม้อ ไม่ยุ่งยาก แค่...ระวังร้อน
ระบบระบายความร้อนของเครื่องยนต์ เป็นเรื่องสำคัญอันดับต้นๆ ที่เราต้องใส่ใจดูแลให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์ตลอดเวลา โดยเฉพาะ น้ำหล่อเย็น หรือน้ำที่อยู่ในหม้อน้ำ นั่นเอง ความร้อนที่เกิดจากเครื่องยนต์นั้นมีสูงมาก เป็นผลจากการสันดาปภายในของเครื่องยนต์ โดยพลังงานเคมีในเชื้อเพลิงที่ป้อนเข้าสู่เครื่องยนต์ จะถูกแปลงเป็นพลังงานความร้อนจากเพลาข้อเหวี่ยง ประมาณ 35 % อีก 30 % จะปล่อยออกจากเครื่องยนต์ในรูปของพลังงานความร้อน (ENTHALPY) ทางท่อไอเสีย เหลืออีกประมาณ 35 % จะสูญเสียไปกับการถ่ายเทความร้อนให้แก่สารตัวกลางที่ห่อหุ้มเครื่องยนต์ ซึ่งส่วนใหญ่ คือ อากาศ หรือน้ำหล่อเย็น ถ้าไม่มีระบบระบายความร้อน อุณหภูมิภายในห้องเผาไหม้ของเครื่องยนต์จะสูงตั้งแต่ 2,427 องศาเซลเซียส ขึ้นไป ซึ่งเป็นอุณหภูมิที่วัสดุภายในเครื่องยนต์ไม่สามารถทนได้ จึงจำเป็นต้องมีการถ่ายเทความร้อนที่ไม่พึงประสงค์นี้ออกไป แม้ทางทฤษฎีจะต้องการให้เครื่องยนต์ทำงานที่อุณหภูมิสูงสุดเท่าที่เป็นไปได้ก็ตาม
วิธีระบายร้อน
วิธีการระบายความร้อนห้องเผาไหม้ของเครื่องยนต์มีอยู่ 2 วิธีด้วยกัน คือ การใช้ "น้ำ" หล่อเย็นเสื้อสูบ หรือเรือนเครื่องยนต์ โดยอาศัยปั๊มน้ำช่วยให้เกิดการไหลเวียน และการระบายความร้อนด้วย "อากาศ" โดยอากาศจะไหลผ่านเสื้อสูบที่มีครีบช่วยระบายความร้อน จากการเพิ่มพื้นที่ผิว แต่การระบายความร้อนด้วยอากาศนั้น ไม่สามารถลดอุณหภูมิของกระบอกสูบได้อย่างทั่วถึง และสม่ำเสมอทุกส่วน ไม่เหมือนกับการใช้น้ำหล่อเย็น ที่สามารถจัดการไหลให้เหมาะสมกับตำแหน่งต่างๆ ที่ต้องการลดอุณหภูมิได้ดีกว่า แถมของเหลวยังมีคุณสมบัติด้านการระบายร้อนได้ดีกว่าอีกด้วย จึงเป็นที่นิยมกันมากในปัจจุบัน
ทำไมต้องใช้น้ำยาหล่อเย็น ?
เครื่องยนต์สมัยก่อน มักใช้น้ำเปล่าเป็นสารหล่อเย็น แม้น้ำจะมีคุณสมบัติที่ดีมากในการพาความร้อน แต่ก็มีข้อเสียบางอย่าง เช่น การเปลี่ยนสถานะเป็นของแข็งตั้งแต่ 0 องศาเซลเซียส จึงไม่สามารถใช้งานในประเทศเขตหนาวได้ จุดเดือดก็ค่อนข้างต่ำ แม้จะอยู่ภายใต้ความดันสูงกว่าบรรยากาศ ทั้งยังทำให้เกิดสนิมและการกัดกร่อนของโลหะอีกด้วย รถยนต์รุ่นเก่ามักใช้น้ำเปล่าเป็นสารหล่อเย็น และทำงานที่ความดันเท่ากับบรรยากาศ อุณหภูมิของสารหล่อเย็นจึงถูกจำกัดไว้เพียง 82 องศาเซลเซียส เท่านั้น ส่วนน้ำยาหล่อเย็นสามารถทำงานที่อุณหภูมิเกิน 120 องศาเซลเซียส โดยไม่เดือดเป็นไอ เพื่อป้องกัน
ปัญหาจากน้ำเดือด
คุณสมบัติที่ดีของน้ำยาหล่อเย็น
เครื่องยนต์สมัยนี้ต้องพึ่งพาสารหล่อเย็น ที่เป็นส่วนผสมระหว่างน้ำกับเอธิลีน ไกลคอล (ETHYLENE GLYCOL) ซึ่งมีความสามารถในการนำพาความร้อนดีกว่าน้ำธรรมดาเกือบเท่าตัว และมีคุณสมบัติด้านอื่น เช่น เป็นสารช่วยลดจุดเยือกแข็ง ป้องกันสนิม ป้องกันชิ้นส่วนที่เสียดสีกันของปั๊มน้ำ และยังเพิ่มจุดเดือดของน้ำให้สูงขึ้นอีกด้วย นอกจากจะมีคุณสมบัติที่ดีข้างต้นแล้ว ต้องมีความเสถียรทางเคมีในสภาวะการใช้งานต่างๆ เช่น ไม่เกิดฟอง ไม่กัดกร่อน มีความเป็นพิษน้อย ไม่ติดไฟ และราคาถูก
เปลี่ยนไปใช้น้ำยาหล่อเย็นกันดีกว่า
ควรเปลี่ยนน้ำยาหม้อน้ำทุกๆ 2 ปี เพื่อให้น้ำยาคงประสิทธิภาพเต็ม รถที่ยังใช้น้ำเปล่าเป็นตัวหล่อเย็น แนะนำให้เปลี่ยนเป็นน้ำยาหล่อเย็นได้แล้ว อย่าเชื่อช่างบางคนที่แนะนำว่า ถ้าเป็นรถเก่าที่มีสนิมเกิดขึ้นในหม้อน้ำ ไม่ควรผสมน้ำยาหล่อเย็นเพราะจะไปกัดสนิมเพิ่มขึ้นอีก ตรงกันข้าม น้ำยาหล่อเย็นมีคุณสมบัติช่วยป้องกันสนิม ไม่ให้ลุกลามบานปลายยิ่งขึ้น
อุปกรณ์
1. น้ำยาหล่อเย็นหม้อน้ำ 2. กระป๋องน้ำ 3. กรวยใส่น้ำ 4. ผ้าขี้ริ้ว
ขั้นตอนการเปลี่ยนน้ำในหม้อน้ำ
1. จอดรถในที่ราบ เปิดฝากระโปรงหน้ารถ พร้อมตั้งเสาค้ำยันให้ดี 2. เปิดฝาหม้อน้ำ โดยใช้ผ้าขี้ริ้วรอง แล้วบิดออก 3. มองหารูถ่ายหม้อน้ำ (จุกหางปลา) ส่วนใหญ่จะอยู่ส่วนล่างสุดของหม้อน้ำ 4. ค่อยๆ บิดจุกหางปลาในทิศทวนเข็มนาฬิกา 5. ระหว่างถ่ายน้ำนั้นควรหากระป๋องมารองน้ำเก่า เพื่อป้องกันพื้นเลอะ และถ่ายน้ำออกให้หมด 6. นำกรวยมารองน้ำ เพื่อเติมน้ำลงไปในช่องฝาหม้อน้ำ 7. ใส่น้ำเข้าไปจนกว่าน้ำในกระป๋องที่รองไว้จะสะอาด 8. ปิดจุกหางปลา โดยตอนปิดให้หมุนตามเข็มนาฬิกา 9. ใส่น้ำสะอาดจนเต็ม สตาร์ทเครื่องจนถึงอุณหภูมิทำงาน แล้วจึงดับเครื่อง รอให้เครื่องเย็น 10. ถ่ายน้ำออกจนหมด ใส่จุกหางปลาอีกครั้ง พิจารณาส่วนผสมข้างกระป๋องกับปริมาณความจุหม้อน้ำ 11. เทน้ำยาหม้อน้ำกับน้ำสะอาดตามสัดส่วนที่กำหนดไว้จนเต็ม 12. ปิดฝาหม้อน้ำ สตาร์ทเครื่อง/ดับเครื่อง แล้วเชคน้ำอีกครั้ง เป็นอันเสร็จ
อ่านต่อ
เรื่องโดย : วิธวินท์ ไตรพิศ
ภาพโดย : จินดา ลัยนันท์
นิตยสาร 417 ฉบับเดือน มิถุนายน ปี 2556
คอลัมน์ Online : DIY...คุณทำเองได้
ลิงค์สำหรับแชร์ :
https://autoinfo.co.th/article/90740
แชร์บทความ
Follow autoinfo.co.th
บทความแนะนำ คอลัมน์
DIY...คุณทำเองได้
DIY...คุณทำเองได้
21 Jun 2023
ทำความสะอาดเบาะผ้า ด้วยเครื่องมือยุคใหม่
DIY...คุณทำเองได้
22 Mar 2023
ชาร์จรถไฟฟ้าแบบฉุกเฉิน ด้วยปลั๊กไฟบ้าน
DIY...คุณทำเองได้
17 Nov 2022
อบโอโซน ห้องโดยสารด้วยงบ 400 บาท
DIY...คุณทำเองได้
21 Oct 2022
ขัดคราบโคมเหลือง ให้ขาวสดใส
DIY...คุณทำเองได้
21 May 2022
ล้างเคลือบรถ ทำเองได้ ประหยัดด้วย
ดูต่อในคอลัมน์ DIY...คุณทำเองได้