รอบรู้เรื่องรถ
"กลิ่นใหม่" ไม่ใช่กลิ่นสวรรค์
ช่วงนี้ รถยนต์รุ่นใหม่ๆ ไม่ว่าค่ายเล็ก หรือค่ายใหญ่ ต่างต่อคิวทยอยเปิดตัวกันเพียบ บางรุ่นก็ถึงเวลาที่ต้องปรับเปลี่ยนโฉมทั้งภายนอกและภายในกันเสียที บางรุ่นก็แค่เปลี่ยนนิดๆ หน่อยๆ แบบว่ามองแล้วมองอีกก็ยังแทบจะแยกไม่ออก ถ้าไม่มีใครบอกให้รู้ ที่เขาทำแบบนี้ก็เพื่อต้องการกระตุ้นต่อม "อยาก" ของคนไทย รู้ว่าคนไทยชอบอะไรใหม่ๆ แบบว่าต้องมีเป็นคนแรกถึงจะเท่ ซึ่งแท้จริงแล้วอาจไม่มีความจำเป็นที่จะต้องซื้อรถคันใหม่เลยก็ได้
สำหรับผู้ที่มีเหตุสมควรหรืออยู่ในฐานะจะซื้อรถคันใหม่ได้ ผมขอไม่พูดถึงครับ แต่เท่าที่สังเกตเห็น มีผู้ซื้อรถใหม่จำนวนไม่น้อยที่ยังไม่อยู่ในฐานะดังกล่าว
ตัวอย่างที่เห็นชัดเจนคือ คนที่โดดเข้าร่วมโครงการรถคันแรกของรัฐบาลเมื่อปีที่แล้ว พอถึงตอนนี้ หลายคนเริ่มผ่อนไม่ไหว เงินแสนที่รับมาก็ดันหมดไปเสียแล้ว จะคืนรถก็คืนไม่ได้ จะขายรถก็ไม่มีใครซื้อ
แน่นอนครับว่ารถใหม่นั้น มีโอกาสเสียน้อยกว่ารถคันเดิม (ที่ใช้อยู่) แต่ยังไม่ใช่ข้ออ้างที่มีน้ำหนักมากพอ ที่จะมาหักล้างกับการเป็นหนี้ ขึ้นชื่อว่า "รถ" แล้ว จอดอยู่บ้านเฉยๆ มูลค่าของมันก็ลดไปทุกวันแล้วครับ โดยเฉพาะที่เป็นรถใหม่ป้ายแดง ราคาจะตกรวดเร็วมากในระยะแรก
ลองประมาณเล่นๆ ก็ได้ครับว่า รถใหม่ของเรานั้น จะมีมูลค่าลดลงสักเท่าไรในอีก 2 ปีข้างหน้า แล้วเอา 24 หารออกมาจะเห็นว่า คุณกำลังโยน "เงินทิ้ง" เดือนละเท่าไร ถ้าจะให้เห็นชัดไปอีก ให้หารด้วย 30 ทีนี้ล่ะจะเห็นชัดเลยว่า คุณกำลังเผาเงินทิ้งวันละเท่าไร สู้เอาไปทำอย่างอื่นที่เป็นประโยชน์จะดีกว่าไหม ? แล้วค่าอะไหล่ ค่าซ่อมรถคันใหม่ ที่ว่าเสียไม่บ่อยนี้ อาจจะสูงกว่ารถคันเดิม ที่ต้องซ่อมกันบ่อยๆ ก็เป็นได้ครับ หรือถ้าคุณขยับไปซื้อรถระดับที่สูงขึ้น ใครที่กำลังเช่าบ้านอยู่ ผมว่าเอาเงินไปผ่อนบ้านพร้อมที่ดินของตัวเอง จะคุ้มกว่า เพราะมูลค่าของที่อยู่อาศัยนั้น เพิ่มขึ้นอยู่ทุกวัน ซึ่งตรงกันข้ามกับรถอย่างสิ้นเชิง สู้เอาเงินผ่อนรถ เก็บไว้เป็นค่าใช้จ่ายฉุกเฉินยามเจ็บป่วยยังจะดีซะกว่า สมัยนี้โรคบางโรค ทำให้เราหมดเนื้อหมดตัวเพราะค่ารักษาก็มีเยอะครับ
รถใหม่นั้น นอกจากอาจจะมาพร้อมกับหนี้ก้อนใหญ่แล้วที่แน่ๆ ยังมาพร้อม "กลิ่นใหม่" ในห้องโดยสารซึ่งเจ้าของรถบางท่านอาจรู้สึกว่าเป็นกลิ่นที่แสนชื่นใจ จนบางคนคิดเลยเถิดไปว่าทำอย่างไร จะให้ "กลิ่นสวรรค์" เหล่านี้ อยู่คู่กับรถคันใหม่ของเราไปนานๆ
ผมขอบอกว่า เจ้ากลิ่นสวรรค์เหล่านี้นั้น แท้จริงแล้วมันคือ "ไอพิษ" ที่แสนร้ายกาจ เป็นอันตรายกับเราได้อย่างมากมายจนคิดไม่ถึงเลยละครับ !
กลิ่นเหล่านี้มาจากไหน และเป็นกลิ่นอะไร ? ถ้าแบ่งออกอย่างหยาบๆ และเพื่อไม่ให้ยุ่งยาก ก็ต้องบอกว่า มันคือกลิ่นของ "พลาสติคและกาว" ภายในห้องโดยสาร ซึ่งในรถยุคใหม่นั้น นับวันจะมีบทบาทมากขึ้นทุกที ประมาณกันว่าคิดเป็นน้ำหนักถึง 150 กก. หรือประมาณ 13 % ของน้ำหนักรถเลยทีเดียว
จากผลการวิจัยสถาบันแห่งหนึ่งในเมืองฮัมบวร์ก ประเทศเยอรมนี พบว่า มีสารเคมีที่เป็นไอพิษอยู่ในห้องโดยสารของรถยนต์นั่งเป็นจำนวนถึง 250 อย่าง ชื่อของมันทั้งอ่านยากและจำยาก เอาแค่รู้จักพิษภัยของมันก็พอ ซึ่งมีตั้งแต่ทำให้หายใจติดขัด ปวดศีรษะอย่างรุนแรง คลื่นไส้ ตาอักเสบ เวียนศีรษะ ผิวหนังเป็นผื่นคัน และบางครั้งอาจถึงขั้นทำให้ทารกในครรภ์พิการได้ ส่วนเด็กเล็กที่สูดเอาไอพิษเหล่านี้เข้าไป ก็มีโอกาสเป็นโรคหอบหืดได้ครับ
ไอพิษเหล่านี้มาจากไหน ? ก็ออกมาจากชิ้นส่วนพลาสติค และกาวภายในห้องโดยสารที่ลอยออกมาตลอดเวลา และจะเพิ่มความรุนแรงขึ้นอีกเมื่อถูกความร้อน เช่น ขณะจอดรถตากแดดและปิดกระจกไว้ ไอพิษจะจับตัวเกาะอยู่ที่ผิวทุกส่วนของห้องโดยสาร เช่น กระจกทุกบาน โดยเฉพาะผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้ ผมแนะนำให้สังเกตดูว่ามีอาการกำเริบตั้งแต่ใช้รถคันใหม่หรือไม่ ทางที่ดีลองหยุดใช้รถคันนั้นสัก 2-3 วัน เพื่อหาสาเหตุครับ ในต่างประเทศเขาพิสูจน์ได้ว่า บางคนแพ้สารที่วงพวงมาลัย ซึ่งทำด้วยไม้หรือหุ้มหนังแท้ บางครั้งก็มีสาเหตุมาจากยางหุ้มด้ามเกียร์เท่านั้นเอง
แต่สิ่งที่ร้ายกาจกว่านั้น คือ บรรดาอุปกรณ์ตกแต่งต่างๆ ที่เราซื้อมาใส่เพิ่มเติมนั่นแหละ โดยเฉพาะยางปูพื้นรถที่ไม่ได้มาตรฐาน บางอันแค่เดินผ่าน ก็ได้กลิ่นฉุนมากแล้ว ถ้าเข้าไปอยู่ในรถแล้วละก็ ไม่อยากจะคิด ผู้ที่มีอาการกำเริบ อย่าลืมลองเอาแผ่นยางแสนฉุนนี้ ออกไปผึ่งลมไว้นอกรถก่อน แล้วดูว่าใช่สาเหตุหรือไม่ แนะนำให้ใช้ของจากต่างประเทศ หรือของบ้านเราที่มีมาตรฐานควบคุม จะดีกว่า
นอกจากนี้ วัสดุที่ทำหน้าที่ตรงกันข้ามกับกาว ก็คายไอพิษได้ร้ายแรงไม่แพ้กัน ผมหมายถึง สารที่ผู้ผลิตใช้ทาแม่พิมพ์ เพื่อให้ชิ้นส่วนพลาสติคหลุดล่อนจากแม่พิมพ์ได้ง่าย สารเหล่านี้ย่อมติดค้างอยู่ที่ผิวของชิ้นส่วนต่างๆ ภายในรถอย่างแน่นอน
วิธีที่ควรทำ สำหรับผู้ที่ซื้อรถใหม่ เพื่อกำจัดไอพิษเหล่านี้ให้เร็วที่สุด มีดังนี้ครับ
1. ทำความสะอาดชิ้นส่วนภายในห้องโดยสาร เช่น แผงหน้าปัด พวงมาลัย เบาะ แผงประตู แผงบังแดด โดยใช้ผ้าชุบน้ำหมาดๆ ผสมสารทำความสะอาดประเภทสบู่ เช่น น้ำยาล้างจาน น้ำยาล้างคราบไขมัน ผงซักฟอก หรือสบู่ธรรมดาก็ได้ เช็ดวนไปวนมาหลายๆ ครั้ง แล้วเช็ดออกด้วน้ำเปล่าอีกครั้ง
2. หาทางระบายอากาศภายในห้องโดยสาร ให้ออกภายนอกได้นาน และบ่อยที่สุด เช่น เปิดกระจกทุกบาน ระบายอากาศขณะใช้งานทุกครึ่งชั่วโมง ขณะจอดรถกลางวัน ถ้ามีเวลาพอ และอยู่ในที่ปลอดภัย ควรเปิดประตูทุกบานทิ้งไว้ ซึ่งคงทำได้ขณะจอดในบ้าน และตอนกลางวันเท่านั้น ถ้าเป็นเวลากลางคืน อาจจะไม่เหมาะ เพราะยุงจะบินเข้าหาแต่ที่มืดภายในรถ ถ้าให้ดีควรปิดประตู แต่แง้มกระจกหน้าต่างไว้สัก 1 นิ้วทุกบาน เพื่อให้อากาศถ่ายเทได้ ทำแบบนี้สักระยะหนึ่ง "กลิ่นใหม่" จะหายไปเองครับ
เรื่องโดย : วิธวินท์ ไตรพิศ
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน พฤษภาคม ปี 2556
คอลัมน์ Online : รอบรู้เรื่องรถ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/90234