โลกติดล้อ
ลัมโบร์กินี
บรรดาแฟนพันธุ์แห่งค่ายกระทิงดุ คงจะนึกไม่ถึงกันล่ะนะคะ ว่าผู้ผลิตรถสปอร์ทค่ายเปรี้ยวจี๊ดจ๊าดของโลกอย่าง ลัมโบร์กินี จะเคยผลิตรถทแรคเตอร์มาก่อน ซึ่งมันไม่มีอะไรคล้ายกันเอาซะเลย ซึ่งแตกต่างกันราวฟ้ากับดินอย่างไรอย่างนั้นอยากรู้ไหมว่าทำไม ลองมาติดตามกัน รถ ลัมโบร์กินี ผลิตโดยบริษัท AUTOMOBILINI LAMBORGHINI SPA ตั้งอยู่ที่เมือง SANTAGATA BOLOGNESE ประเทศอิตาลี และล่าสุดในปี 2011 ที่ผ่านมา ผลิตรถยนต์ได้ 1,711 คัน ด้วยฝีมือคนงาน 831 คน เรียกว่าคนหนึ่งผลิตรถได้ปีละ 1 คัน กับอีกนิดหน่อยเท่านั้นเอง อย่างนี้ไม่เรียกว่างานฝีมือ แล้วจะเรียกว่าอะไร เจ้าของผู้ก่อตั้ง ลัมโบร์กินี เขาเป็นกระทาชายชาวอิตาลี มีนามว่า แฟร์รุชโช ลัมโบร์กินี (FERRUCCIO LAMBORGHINI) เป็นลูกชายเจ้าของไร่องุ่น ดูแลรับผิดชอบผสมพันธุ์องุ่นที่ใช้ผลิตไวน์ แฟร์รุชโช มีอาชีพเริ่มแรกเป็นช่างในกองทัพอากาศอิตาลี ในสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่พอสงครามสงบ เขาคนนี้ที่มีหัวทางธุรกิจ จึงนำชิ้นส่วนเหลือใช้จากยุทธภัณฑ์ มาประดิษฐ์เป็นรถทแรคเตอร์ ซึ่งธุรกิจนี้ได้เจริญเติบโตรุ่งเรือง จนกลายเป็นบริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์การเกษตรที่ใหญ่ที่สุดในอิตาลี แล้วได้ขยายไลน์การผลิตไปทำเครื่องทำความร้อนภายในบ้าน รวมถึงเครื่องปรับอากาศอีกด้วย พอฐานะร่ำรวยเก็บเงินได้จนเป็นเศรษฐี เขาก็คิดถึงความฝันวัยเด็กที่มีความชื่นชอบรถยนต์เป็นชีวิตจิตใจ จึงซื้อรถหรูยี่ห้อต่างๆ มาขับเล่นมากมาย ไม่ว่าจะเป็น อัลฟา โรเมโอ ลันชา มาเซราตี และ เมร์เซเดส-เบนซ์ แล้วในที่สุดก็ถึงคราวของเจ้าม้าลำพองรถยนต์ แฟร์รารี โดยเขาซื้อ แฟร์รารี 250 จีที มา แล้วก็หงุดหงิดใจยิ่งนักว่าเสียงเครื่องยนต์ดังมาก หนำซ้ำคลัทช์ก็นักจนเกินเหตุ และด้วยความเป็นช่าง เลยสังเกตว่า ชุดคลัทช์ที่ใช้อยู่เป็นแบบเดียวกับในรถทแรคเตอร์ที่เขาผลิต จากนั้นเขาจึงเข้าไปหา แฟร์รารี บอกว่าช่วยเปลี่ยนเกียร์ให้ผมหน่อย แต่ทาง แฟร์รารี กลับตอบมาว่า นายเป็นแค่คนผลิตรถทแรคเตอร์ จะมารู้อะไรดีเรื่องรถสปอร์ทหรูๆ เท่านั้นแหละ เขาเลยมีอาการลมออกหู แล้วประกาศว่าฉันจะสร้างรถสปอร์ทที่ไร้ข้อตำหนิให้ได้ ช่วงแรก แฟร์รุชโช จ้างนักออกแบบคนหนึ่งให้ออกแบบตัวถัง ส่วนวิศวกรอีกคน ออกแบบเครื่องยนต์ และอีกบริษัท ออกแบบระบบรองรับ เรียกว่าสมัยนั้นยังไม่มีทีมงานเป็นของตัวเอง โดยผลิต ลัมโบร์กินี 350 จีทีวี (LAMBORGHINI 350 GTV) คือ รถต้นแบบคันแรกที่ออกโชว์โฉมในงานมหกรรมยานยนต์ตูริน ในปี 1963 แต่ก็มีเรื่องที่คาดไม่ถึงเกิดขึ้น โดยก่อนหน้านั้นเพียงไม่กี่วัน เพราะเกิดความขัดแย้งกับ จตโต บิตซ์ซาร์รรีนี วิศวกรผู้รับผิดชอบเรื่องการผลิตเครื่องยนต์ ซึ่งทีมงานของเขาไม่ยอมผลิตเครื่องยนต์ได้เสร็จทันเวลางานเปิด แฟร์รุชโช จึงสั่งเอาก้อนอิฐไปถ่วงไว้ในห้องเครื่อง แล้วปิดฝากระโปรงไว้ตลอดเวลา เพื่อไม่ให้ผู้เข้าชมงานล่วงรู้ความลับว่ารถคันนี้ไม่มีเครื่องยนต์ และภายในงานดังกล่าว ถือว่ามีเสียงตอบรับที่ดี หลังจากวันนั้น ลัมโบร์กินี ได้พัฒนาต่อยอดจนเป็นซูเพอร์คาร์ อันดับต้นๆ ของโลกในวันนี้ รถหลากหลายรุ่นที่ได้รับความนิยมสูง และขายดีเกินคาด อาทิ ลัมโบรฺกินี เอสปาดา ที่มีการผลิตมากกว่า 1,200 คัน ตลอดช่วงระยะเวลากว่า 10 ปี ของสายการผลิต โดยมีรูปแบบของห้องโดยสารแบบ 2+2 ที่นั่ง แต่ก็มีช่วงวิกฤตที่ แฟร์รุชโช ต้องเผชิญหลายครั้ง เช่น ปี 1969 สหภาพแรงงานออกกฏให้คนงานหยุดวันละ 1 ชั่วโมง ส่งผลให้กำลังการผลิตชะงักงัน แต่ด้วยความที่เขาเป็นเจ้านายแบบพร้อมลุยกับลูกน้อง ก็สามารถนำพาลูกน้องเดินหน้าปฏิบัติงานให้บรรลุเป้าหมายจนได้ สำหรับ ลัมโบร์กินี ที่ผลิตขึ้น และได้รับการตอบรับอย่างดีช่วงปลายทศวรรษที่ 60 คือ มิอูรา ซึ่งถือเป็นต้นแบบของรถสปอร์ทเครื่องยนต์วางกลางลำ ขับเคลื่อนล้อหลัง วันคืนอันรุ่งเรืองของ ลัมโบร์กินี ผ่านไปนานนับ 10 ปี จนกระทั่ง เจอเข้าอีกวิกฤตหนึ่ง ในปี 1971 ซึ่งเกิดภาวะฟองสบู่ บริษัทซึ่งยังผลิตรถทแรคเตอร์อยู่ และมีตัวแทนจำหน่ายอยู่ในแอฟริกาใต้ ยกเลิกการสั่งซื้อทั้งหมด ส่วนที่ประเทศโบลิเวียเกิดการปฏิวัติ คณะปฏิวัติซึ่งกลายเป็นรัฐบาลใหม่ ก็ยกเลิกคำสั่งซื้อเช่นเดียวกัน และตามกฏหมายบริษัทไม่สามารถเลิกจ้างคนงานได้ ทำให้บริษัทต้องแบกรับภาระต้นทุนสูง แฟร์รุชโช จำเป็นต้องขายกิจการในส่วนทแรคเตอร์ไป และในปีถัดมาบริษัทเกิดอาการระส่ำระสาย และในที่สุดเขาได้ขอให้เพื่อนมาถือหุ้น 51 % อีกไม่นานต่อมา เขาก็ขายหุ้นอีก 49 % ที่เหลืออยู่ไป พร้อมกับการเกษียณตัวเองในเวลาต่อมา ในปี 1973 เมื่อเศรษฐกิจโลกตกต่ำ รวมถึงมีวิกฤตพลังงานเกิดขึ้น ส่งผลให้บริษัทพบกับภาวะการเงินไม่มั่นคง และจำเป็นต้องเปลี่ยนมือเจ้าของหลายครั้ง จนกระทั่งบริษัท ไครสเลอร์ ยื่นมือเข้ามาซื้อกิจการในปี 1987 แต่ก็ไม่สามารถพลิกฟื้นได้สำเร็จ ไครสเลอร์ จึงตัดสินขายให้กับกลุ่มการเงินสัญชาติมาเลเซีย MYCOM SETDCO และสัญชาติอินโดนีเซีย V'POWER CORPORATION และในปี 1994 ก็ยังลุ่มๆ ดอนๆ อีก จนทนไม่ไหว ต้องขายอีกครั้งให้ AUDI AG ซึ่งอยู่ในกลุ่ม โฟล์คสวาเกน เมื่อปี 1998 และคราวนี้เองที่ เอาดี เอาอยู่ จนถึงปัจจุบัน ลัมโบร์กินี มียอดขายเติบโตต่อเนื่องเพิ่มขึ้นถึง 10 เท่า ในปี 2000 แม้ต่อมาช่วง ปี 2007-2008 ได้เกิดวิกฤตด้านการเงินอีกครั้ง ซึ่งมีผลทำให้ยอดขายลดลงครึ่งหนึ่งก็ตาม ปัจจุบันที่โรงงาน SANTAGATA BOLOGNESE ซึ่งมีหน้าที่ผลิตทั้งตัวถัง และเครื่องยนต์แบบ วี 12 และแบบ วี 10 ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ปรัชญาประจำใจ และบแรนด์ของ ลัมโบร์กินี คือ การสร้างรถที่มีเสียงรบกวนภายในห้องโดยสารให้เงียบที่สุด เพราะเขามุ่งมั่นปรับปรุงเรื่องนี้เรื่อยมาโดยตลอด ลัมโบร์กินี เปรียบเหมือนแมวเก้าชีวิต เพราะมันเป็นตำนานที่คนรักรถไม่มีวันยอมให้ล้มหายตายจากไปง่ายๆ แม้บริษัทได้ถูกเปลี่ยนมือไปเรื่อยๆ จนในที่สุด เอาดี คือ อัศวินม้าขาวที่เข้ามาบริหารจัดการ และทำให้แมวเก้าชีวิตตัวนี้มีชีวิตมาจนทุกวันนี้
เรื่องโดย : เพ็ญศรี เผ่าเหลืองทอง
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน พฤศจิกายน ปี 2555
คอลัมน์ Online : โลกติดล้อ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/88060