โค้งอันตราย
ประวัติศาสตร์อีกแล้ว
วงการยานยนต์บ้านเรา เริ่มสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ กันอย่างสม่ำเสมอ หลังค่ายรถยนต์เริ่มตั้งตัวได้ จากภัยพิบัติ ที่เกิดขึ้นเมื่อปีก่อน ทำให้ยอดการขาย ตัวเลขการผลิต ตัวเลขการจำหน่าย สูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ ให้เป็นตัวเลขของประวัติศาสตร์กันสม่ำเสมอ
เดือนสิงหาคม เดือนเดียว ขายกันได้ 128,296 คัน เพิ่มขึ้น 62.3 % แต่พอรวม 8 เดือน ขาย 859,486 คัน ก็ยังเพิ่มอยู่ 47.2 % แซงหน้ายอดขายทั้งปี 2553 ที่เป็นปีที่ยอดขายสูงสุด เรียบร้อยแล้ว
มองภาพโดยรวม เห็นได้ว่า ความต้องการของผู้บริโภค รวมทั้งแรงอัดฉีดของภาครัฐ ที่สนับสนุนให้ซื้อรถคันแรก เป็นตัวเร่งให้ตลาดเติบโตขึ้นได้อย่างดี รวมทั้งแต่ละค่าย ต่างก็เร่งการผลิต ทั้งทำล่วงเวลา ทั้งเพิ่มกะ กันทุกค่าย ทำให้ส่งมอบรถได้เร็วขึ้น แม้จะมีบางยี่ห้อ หรือบางรุ่น ที่ยังขาดแคลนอยู่ แต่ก็มีน้อยราย เพราะเท่ากับเร่งให้ผู้บริโภค หันไปหายี่ห้ออื่น รุ่นอื่นทดแทน
เอาเป็นว่า บ้านเรา จะเตรียมเฉลิมฉลองการผลิตรถยนต์ ครบ 2 ล้านคัน ในเดือนพฤศจิกายน กันอย่างใหญ่โต เป็นการสร้างประวัติศาสตร์กันอีกครั้ง
แต่นักการตลาดเอง ก็ยังเป็นห่วงเรื่อง การส่งมอบรถยนต์ในปี 2556 ที่เกี่ยวพันกับการส่งมอบรถคันแรก ที่จะต้องส่งมอบภายในปี 2556 เพราะผู้บริโภค จะสามารถจองซื้อได้ภายในปี 2555 สายการผลิต ก็จะต้องคำนวณการผลิต ว่าสมควรจะส่งมอบได้สักเมื่อไร แถมรุ่นใหม่ก็ยังต้องเตรียมตัวออกสู่ตลาดกันอีก
เพราะตอนนี้ ก็เริ่มมีรายการขายใบจองกันออกมาบ้างแล้ว ฟากทางค่ายเงินทุนหลักทรัพย์ ก็เริ่มเป็นกังวลว่าจะมีรายการปล่อยให้ยึด เป็นข่าวออกมากันเล็กๆ แล้ว แม้ว่าจะเป็นเพียงความเห็นของใครบางคน แต่ก็เป็นเสียงนก เสียงกา ที่น่าจะสะดุดหูใครบางคนมั่งละ
นั่นเป็นเรื่องที่ต้องติดตามกันต่อไป
แต่เรื่องการปรับปรุงโครงสร้างภาษีสรรพสามิตรถยนต์ ที่มีแนวคิด ยกเลิกการกำหนดขนาดความจุกระบอกสูบ และแรงม้า หันมาใช้อัตราการปล่อยแกสคาร์บอนไดออกไซด์แทน เหมือนที่รถในเมืองนอก ต้องใส่ค่านี้เอาไว้ในข้อมูลทางเทคนิคกันทุกยี่ห้อ
แต่ก็ยังมีข้อแม้อีกหลายอย่าง รถไฮบริด ที่พัฒนาเทคโนโลยีกันหลากยี่ห้อ มีทั้งไฮบริด ผสม เครื่องยนต์กับมอเตอร์ไฟฟ้า ไฮบริด เครื่องยนต์ เอาไว้ชาร์จแบทเตอรี ใช้กำลังไฟฟ้าขับเคลื่อน แค่ 2 อย่างนี่ ก็ค่าคาร์บอนไดออกไซด์ ไม่เท่ากันแล้ว
หรือจะยึดเอารถอีโคคาร์ ที่กำหนดค่าเอาไว้ตั้งแต่เริ่มต้น ก็ยังไม่มีใครรู้ ว่าจะเป็นอย่างไรกัน
ฟากรัฐ ก็ไม่กล้าออกความเห็นเรื่องนี้ ด้านเอกชน ก็ทำการทดลอง เริ่มด้วยรถไฮบริด แบบที่ใช้กำลังไฟฟ้าขับเคลื่อน โดยเริ่มติดตั้งสถานีชาร์จแบทเตอรี่รถยนต์ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีใหม่อีกอย่างหนึ่ง แต่ยังอยู่ในขั้นทดลอง ก็ต้องดูกัน ว่ารัฐบาลนี้ จะกล้าเล่นกับเผือกร้อนลูกนี้เมื่อไรดี
ทางด้านพลังงานทดแทน ผู้ค้าน้ำมัน ก็เริ่มเร่งกระแสพลังงานทดแทนกันมากขึ้น มีทั้งการสัมมนา แลกเปลี่ยนความคิดเห็น ถึงว่าควรจะใช้พลังงานทดแทนชนิดไหน จึงจะคุ้มค่ามากที่สุด เพราะหากบ้านเราเปิดเสรีประชาคมอาเซียน หรือ เออีซี ในอีก 3 ปีข้างหน้า ก็ต้องมองหาแหล่งที่จะใช้ แหล่งที่จะผลิตเจ้าพลังงานทดแทนนี้ด้วย
แต่ที่น่าจะเป็นไปได้เร็วที่สุดขณะนี้ เห็นจะเป็นปาล์มน้ำมัน ที่ผู้ค้าน้ำมัน 2 ค่าย หันไปหาอย่างจริงจัง ที่สามารถนำมาผลิตเป็นไบโอดีเซล หรือน้ำมันดีเซลที่เราใช้กันอยู่ตอนนี้ บี 5 ว่าจะเป็นแนวทางที่ดีที่สุด
การพัฒนาและวิจัย ก้าวไปถึงขึ้นสร้างโรงงานสกัดปาล์มน้ำมันกันแล้ว และเริ่มผลิตกันอย่างจริงจัง ที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี่แหละ
ค่ายรถยนต์เอง ก็ค้นคว้าเรื่องนี้เช่นกัน เพราะเกรงว่า เครื่องยนต์ของตนเอง อาจมีปัญหากับการใช้พลังงานทดแทน เพราะยังไงก็ต้องรับประกันเครื่องยนต์อยู่แล้ว ก็เลยมีข่าวเรื่องพวกนี้กันมากขึ้น
เสียแต่ภาครัฐ ไม่ค่อยโหมกระแสอย่างจริงจัง แค่ทำเป็นข่าวออกทีวี เท่านั้นเอง เนื้อหาสาระที่ผู้บริโภคควรได้รับรู้ แทบไม่มีหน่วยงานไหน เผยแพร่กันอย่างจริงจังเลย
ไม่ยักเหมือนเรื่องที่ธรณีสงฆ์เนอะ
เอ๊ะ ไม่ใช่สิ วกไปได้ยังไงเนี่ย
ไปเรื่องอื่นดีกว่า คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เห็นชอบให้ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันดีเซล 0.20 บาท/ลิตร ทำให้อัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมัน ฯ สำหรับดีเซลจากเดิม 0 บาท/ลิตร เพิ่มเป็น 0.20 บาท/ลิตร โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 28 กันยายน 2555 เป็นต้นไป ทั้งนี้จะไม่ส่งผลต่อราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลให้เปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด
การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมัน ฯ ครั้งนี้ ส่งผลให้กองทุนน้ำมัน ฯ มีภาระลดลง จากเดิม ที่ติดลบอยู่ 61 ล้านบาท/วัน เป็นติดลบลดลงเหลือ 51 ล้านบาท/วัน หรือมีรายรับเพิ่มขึ้นอีกวันละ 10 ล้านบาท สำหรับฐานะกองทุนน้ำมัน ฯ ณ วันที่ 23 กันยายน 2555 มีฐานะสุทธิติดลบ 18,168 ล้านบาท
ทั้งนี้ ค่าการตลาดดีเซลเดิม 1.70 บาท/ลิตร เก็บเข้ากองทุนน้ำมันฯ 20 สตางค์/ลิตร จึงทำให้ค่าการตลาดของผู้ค้าอยู่ในระดับ 1.50 บาท/ลิตร ซึ่งก็เป็นระดับที่เหมาะสม ขณะที่ราคาของน้ำมันเบนซินเฉลี่ย อยู่ระดับที่เหมาะสม จึงทำให้ไม่ได้เก็บเงินเข้า ฯ และราคาขายปลีกคงไม่เปลี่ยนแปลง
นั่นก็เป็นเรื่องควรรู้อีกเรื่องหนึ่ง เพราะหลวงท่าน ก็ต้องอาศัยเงินของพวกเราท่านนี่แหละ ที่จะเอาไปบริหารกองทุนน้ำมัน
จากกระเป๋าเราทั้งนั้น
ก็เตรียมตัวเตรียมใจเอาไว้ กับการสร้างประวัติศาสตร์ของวงการยานยนต์ไทย ที่จะเห็นยอดการขายในเดือนธันวาคม นี้ ว่ามากมายมหาศาลเพียงใด ที่ต้องยอมรับว่า ส่วนหนึ่งมาจาก มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 29 ตั้งแต่ วันที่ 29 พฤศจิกายน-10 ธันวาคม นี้
อย่าลืมแวะมาร่วมชิงรางวัลมากมายกันนะครับ
เรื่องโดย : มือบ๊วย
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน พฤศจิกายน ปี 2555
คอลัมน์ Online : โค้งอันตราย
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/87893