พิเศษ(cso)
การปรับแต่งเสียง
ระบบเสียงในรถยนต์ที่สามารถถ่ายทอดคุณภาพเสียงออกมาได้อย่างดี มีความไพเราะ ถูกหูถูกใจ สามารถทำให้คุณฟังได้อย่างเพลิดเพลิน มีองค์ประกอบหลักที่สำคัญอยู่ 3 อย่าง คือ 1. สินค้ามีคุณภาพ 2. การติดตั้งได้มาตรฐาน 3. การทูนเสียงแบบมืออาชีพ เพราะถ้าขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไปแล้ว ต่อให้ติดตั้งเครื่องเสียงราคาชุดละเป็นแสน ก็ไม่สามารถให้คุณภาพเสียงที่ดีออกมาได้
ทำอย่างไร
ถึงจะได้คุณภาพเสียงที่ดี
ระบบเสียงที่ดีมีคุณภาพ สามารถถ่ายทอดรายละเอียดของเสียงดนตรีได้ใกล้เคียงต้นฉบับมากที่สุด นั่นแสดงว่า ระบบเสียงของคุณอยู่ในชุดระดับออดิโอไฟล์แล้ว เพราะนอกจากสินค้าที่มีคุณภาพ การติดตั้ง ก็เป็นสิ่งสำคัญไม่น้อยไปกว่า การปรับแต่งเสียง หรือทูนเสียงแบบมืออาชีพ
ในครั้งนี้จะพูดถึงเฉพาะการปรับแต่งเสียง หรือทูนเสียง เพื่อการฟังระดับออดิโอไฟล์ โดยให้ชุดเครื่องเสียงของคุณ ถ่ายทอดคุณภาพเสียงออกมาได้อย่างไพเราะ มีความชัดเจน แม้กระทั่งรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ตัวอย่างเช่น เสียงร้องที่ลอดริมฝีปาก (เสียง S, F, T) เสียงดนตรีที่ไม่มีเสียงแตกพร่า หรือเสียงเพี้ยนไปจากต้นฉบับ โดยใช้เทคนิค LEVEL MATCHING เป็นหัวใจหลักที่สำคัญในการปรับแต่งเสียง เพื่อการฟังคุณภาพเสียงระดับออดิโอไฟล์
ขั้นตอนแรก
สำรวจชุดเครื่องเสียงภายในรถของคุณ ว่ามีอุปกรณ์ชิ้นใดอยู่บ้าง อาทิเช่น วิทยุ พรีแอมพ์ เพาเวอร์แอมพ์ โดยที่คุณจะต้องรู้ว่า วิทยุ มีพรีเอาท์กี่โวลท์ 2 หรือ 4, 5 โวลท์ และพรีแอมพ์ขนาดกี่แบนด์ 4-5 หรือ 7 แบนด์ สำหรับเพาเวอร์แอมพ์ มีปุ่มปรับควบคุมเสียงเบสส์ หรือบางยี่ห้อมีปุ่มปรับเสียงกลาง/แหลมให้ด้วย และลำโพงรถยนต์จะมีกล่องพาสสีฟ ครอสส์โอเวอร์ มีสวิทช์ปรับความไวลำโพงเสียงแหลม เช่น 0/-2/-4 ดีบี
เนื่องจากอุปกรณ์เครื่องเสียงติดรถยนต์ทุกตัว มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกันทั้งระบบ ซึ่งการปรับแต่งเสียงจะใช้ระยะเวลานาน และต้องใช้สมาธิในการฟัง นอกจากนี้ หากคุณมีเพลงที่ฟังเป็นประจำ และคุ้นหู หรือมีประสบการณ์ในการฟังเพลงทั้งแบบที่แสดงอยู่ในฮอลล์ กลางแจ้ง จะยิ่งดีมาก อีกทั้งยังต้องทำความเข้าใจกับชุดเครื่องเสียง และอุปกรณ์ที่ติดตั้งอยู่ในระบบ
อุปกรณ์ปรับแต่งเสียงในปัจจุบัน จะใช้เครื่องวัดที่เรียกว่า TERM-LAB เพื่อช่วยในการปรับแต่งเสียง ในบางครั้งผลวัดการตอบสนองความถี่ของระบบเสียงจะออกมาดีมาก คือ ฟแลท (FLAT) แต่เมื่อฟังดนตรีจริง อาจไม่มีความไพเราะ ความสมจริง จึงต้องใช้การฟังช่วยในการปรับแต่งเสียงในขั้นตอนสุดท้าย
การปรับแต่งเสียง
สำหรับการปรับเสียงให้กับระบบเสียงติดรถยนต์ จะเริ่มต้นจากการปฏิบัติทางทฤษฎี และเทคนิคเป็นบางส่วน เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ง่ายขึ้น โดยจะไล่ไปทีละชิ้นตั้งแต่ อันดับแรก วิทยุ ถ้าหากวิทยุเป็นรุ่นเล็ก มีพรีเอาท์ 2 โวลท์ หรือรุ่นปานกลางขึ้นไป จะมีพรีเอาท์ 4 โวลท์ สามารถใช้เทคนิคดังกล่าวนี้ได้เช่นกัน (วิทยุพรีเอาท์พุทสูงๆ ยิ่งดี) เพราะมีผลต่อคุณภาพ และความชัดเจนของเสียง
ตัวอย่างเช่น วิทยุมีปุ่มปรับเสียงทุ้ม และแหลม ให้ปรับปุ่มควบคุมเสียงทุ้ม และแหลม ที่วิทยุ 50 % หรือฟแลท ถ้ามีปุ่มปรับเสียงกลางด้วยให้ทำแบบเดียวกัน ในกรณีที่วิทยุมีอีควอไลเซอร์อยู่ด้วย ให้ตั้งค่าในตำแหน่งฟแลท
ถ้าในระบบเสียงมีพรีแอมพ์ ให้ปรับปุ่ม VOLUME ไปที่ตำแหน่งต่ำสุด (MIN) และปรับ GAIN INPUT ไปที่ตำแหน่งต่ำสุด (MIN) ส่วนปุ่มปรับเสียง HIGH, MID, LOW และ SUB ให้ตั้งอยู่ในตำแหน่งฟแลท หรือที่ 12 นาฬิกา
ในระบบเสียงถ้ามีอีควอไลเซอร์ ให้ปรับปุ่ม GAIN INPUT ในระดับต่ำสุด (MIN) และปรับปุ่มเพิ่ม/ลด (BOOST/CUT) ทุกค่าความถี่ให้อยู่ในระดับสูงสุด (MAX) เพื่อให้ทราบถึงการ CLIP ของสัญญาณ และ
ความเพี้ยนที่เกิดขึ้น แล้วจึงปรับแต่งเสียงอีกครั้งเพื่อความถูกต้อง
สำหรับเพาเวอร์แอมพ์ที่มีปุ่มปรับเสียงทุ้ม/แหลม และปุ่มปรับ BASS EQ หรือ BASS BOOST แนะนำให้ปรับตั้งไว้ที่ค่ากลางๆ คือ ฟแลท
สุดท้าย คือ ลำโพงแยกชิ้น (กลาง/แหลม) จะมีกล่องพาสสีฟ ครอสส์โอเวอร์ ภายในมีสวิทช์เลือกค่าระดับสัญญาณทวีเตอร์ (0/-2/-4 ดีบี) แนะนำให้ปรับตั้งที่ 0 ดีบี ทั้งหมดนี้เพื่อหาตำแหน่งอ้างอิงที่เป็นกลาง และทำให้การปรับแต่งเสียงจริง จะได้มีตำแหน่งอ้างอิงที่เตือนความจำได้ โดยที่เราจะปรับสวิทช์เลือกค่าระดับสัญญาณให้ทวีเตอร์อีกครั้งในภายหลัง ในกรณีที่เสียงแหลมบาดหู ตัวอย่างเช่น อาจปรับลดลง -2 ดีบี ถ้าทวีเตอร์ติดตั้งในตำแหน่งที่ใกล้หู เป็นต้น
การปรับ GAIN CONTROL
สำหรับการปรับ GAIN CONTROL หรือปรับควบคุมความไวสัญญาณเข้า (GAIN INPUT) โดยใช้เทคนิค LEVEL MATCHING เริ่มต้นจากปรับตั้งความดังเสียง (VOLUME) ไปที่ตำแหน่งต่ำสุด (MIN) โดยอย่าลืมว่า ปุ่มปรับเสียงทุ้ม แหลม ที่วิทยุอยู่ในตำแหน่งฟแลท
ขั้นตอนทั้งหมดที่กล่าวมานี้ จะต้องตั้งปุ่ม GAIN INPUT (ความไวสัญญาณขาเข้า) ของอุปกรณ์ทุกตัวที่มีอยู่ในระบบทั้งหมด ที่ระดับต่ำสุด (MIN) ถึงจะเริ่มต้นทำการปรับ GAIN CONTROL ให้กับอุปกรณ์ทุกตัว
การปรับความไวสัญญาณ แนะนำให้ใช้เพลงที่คุ้นเคย หรือฟังเป็นประจำ หรือใช้แผ่น CD AUDIO ที่บันทึกเพลงที่มีไดนามิคเรนจ์สูงๆ หรือแผ่นที่ใช้ตัดสินการแข่งขันเครื่องเสียงติดรถยนต์ก็ได้ โดยเริ่มต้นจากเพิ่มความดังเสียง (VOLUME) ของวิทยุที่ระดับ 3 ใน 4 ของความดังเสียงสูงสุด และถ้ามีพรีแอมพ์อยู่ด้วยให้ปรับ VOLUME ของพรีแอมพ์ 3 ใน 4 เช่นกัน อย่าจำสับสนระหว่างปุ่ม VOLUME กับปุ่ม GAIN INPUT ของเครื่องเสียงแต่ละชิ้น
หลังจากนั้นให้ปรับปุ่มควบคุม GAIN INPUT ที่พรีแอมพ์ เพาเวอร์แอมพ์ และอุปกรณ์ที่มีอยู่ในตำแหน่ง 12 นาฬิกา หรือกึ่งกลาง เพราะการปรับความไวสัญญาณแบบนี้ เพื่อให้มีระดับสัญญาณโดยรวมในระบบประมาณครึ่งหนึ่ง และให้รู้ว่ามีเสียงออกที่ลำโพง แต่ถ้าหากไม่ได้ยินเสียงออกจากลำโพง ก็น่าจะเกิดจากปัญหาอื่น เช่น อุปกรณ์ตัวใดตัวหนึ่งในระบบเสียหาย หรือสายสัญญาณหลุด การต่อสายต่างๆ ไม่เรียบร้อย
ให้เริ่มต้นปรับกับอุปกรณ์ตัวแรกสุด เช่น ถ้ามีพรีแอมพ์ ให้ปรับปุ่ม GAIN INPUT อย่างช้าๆ และลดปุ่ม GAIN INPUT ของอุปกรณ์ตัวถัดไป (อีควอไลเซอร์, ครอสส์โอเวอร์, เพาเวอร์แอมพ์) เช่นกัน เพื่อรักษาระดับสัญญาณรวมในระบบให้เหลือเพียงครึ่งเดียว พร้อมกับฟังเพลงที่เล่นอยู่ โดยฟังเสียงดนตรีเริ่มเพี้ยน และแตกพร่าหรือไม่ โดยสังเกตจากเสียงแหลมจะได้ยินง่ายที่สุด ถ้าปรับแต่งแล้วเสียงดนตรีไม่แตกพร่า หรือเพี้ยนให้หยุดตรงนั้น
ฟัง/ปรับเสียงขั้นสุดท้าย
เมื่อถึงขั้นตอนนี้ก็จะรู้แล้วว่า การปรับแต่งเสียงนั้นจะต้องทำควบคู่ไปกับการฟังเพลงที่มีคุณภาพด้วย และแผ่นประเภท MP3 ไม่ควรนำมาใช้ปรับแต่งเสียง ถึงตอนนี้ก็จะรู้แล้วว่าระบบเสียงของคุณขาดอะไรไปบ้าง มีความสมดุลของเสียง (TONAL BALANCE) เสียงเบสส์ เสียงมิด/เบสส์ เสียงกลาง และแหลม มีความกลมกลืนเป็นเนื้อเดียวกัน มีความสมดุล ไม่ดังก้อง และไม่บางเกินไป
เรื่องโดย : กองบรรณาธิการ
นิตยสาร 409 ฉบับเดือน ตุลาคม ปี 2555
คอลัมน์ Online : พิเศษ(cso)
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/87648