มาตรวัดตลาดรถ
ประวัติศาสตร์
ปี 2555 นี่จะเป็นปีประวัติศาสตร์ของวงการยานยนต์ประเทศไทย ได้จริงหรือเปล่า เมื่อตัวเลขการขายเจ็ดเดือนที่ผ่านมา ทำสถิติอีกครั้ง ด้วยยอด 731,190 คัน เพิ่มขึ้น 44.8 % โดยเดือนกรกฎาคมเดียว ขายได้ 130,653 คัน เพิ่มถึง 79.2 % ใครต่อใครก็พากันบอกว่า นี่เป็นอานิสงส์ของโครงการประชานิยม รถคันแรก ที่ยืดระยะเวลาการรับรถ ให้บริษัทรถยนต์สามารถส่งมอบได้ ไม่มีกำหนด แต่ผู้ขอใช้สิทธิ ต้องซื้อ หรือจองรถยนต์ ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2555 และต้องยื่นขอใช้สิทธิ พร้อมเอกสารให้เรียบร้อยด้วยจะอย่างไรก็ตาม ในแวดวงค่ายรถยนต์ ต่างพากันมองว่า สภาพเศรษฐกิจขณะนี้สามารถดำเนินไปได้ด้วยดี แม้ว่าจะมีผลกระทบจากสภาวะเศรษฐกิจในยุโรป ที่ซวนเซเพราะหนี้สินล้นพ้นตัวอยู่ขณะนี้ ก็กระทบแบบเล็กน้อย อีกทั้งการเมืองบ้านเรา ถึงจะทะเลาะกันอย่างไร ก็ยังมีเสถียรภาพ ไม่สั่นคลอนแบบรุนแรง ผู้คนก็เลยมีจิตใจที่จะควักกระเป๋าซื้อรถใช้งาน ก็ลองมาดู ฟรอสต์ แอนด์ ซัลลิแวน ที่คาดการณ์ตลาดยานยนต์ภูมิภาคอาเซียน ที่คนอื่นเขามองดูเรากันบ้าง จากผลการศึกษาและวิจัย 4 ประเทศในภูมิภาคอาเซียน ได้แก่ อินโดนีเซีย มาเลเซีย เวียดนาม และประเทศไทย พบว่า ตลาดดังกล่าวมีอัตราการเติบโต อยู่ที่ 10.1 % ในช่วงระหว่างปี 2554-2561 และภายในปี 2556 ยอดขายรถยนต์ของประเทศไทยและอินโดนีเซียจะสูงถึง 1 ล้านหน่วย เนื่องจากความต้องการภายในประเทศ กำลังซื้อที่เพิ่มขึ้น และเม็ดเงินลงทุนจาก OEM ของญี่ปุ่น ปัจจุบัน บริษัทรถยนต์หลายแห่งจากประเทศจีน และอินเดีย กำลังหาช่องทางที่จะขยายตลาดในอาเซียน เนื่องจาก อาเซียนเป็นฐานการผลิตที่มีประสิทธิภาพแข็งแกร่ง รถพิคอัพ ยังคงเป็นรถที่ได้รับความนิยมสูงสุดในประเทศไทย ถึงแม้ว่าจะมีอัตราการเติบโตในปีที่แล้ว ต่ำกว่าที่ประมาณการณ์ไว้ในปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม คนรุ่นใหม่ในประเทศไทยส่วนใหญ่ยังชอบรถที่มีขนาดเล็ก ซึ่งรวมถึง อีโคคาร์ เนื่องจากความทันสมัยและราคาไม่สูงมากนัก โดยเฉพาะแบบ 5 ประตู ซึ่งสื่อถึงความเป็นสปอร์ตคาร์ และความเร็วของเครื่องยนต์ ประเทศในภูมิภาคเอเชีย ตะวันออกกลาง และโอเชียเนีย ยังคงเป็นจุดหมายหลักของการส่งออกยานยนต์ของไทย ซึ่ง 73.9 % ของยานยนต์ที่ส่งออกทั้งหมดเมื่อปี 2554 ที่ผ่านมาได้ถูกส่งออกไปยังประเทศในภูมิภาคดังกล่าว ยอดขายยานยนต์ทั้งหมดในประเทศไทย คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตที่ 16.1 % ในปี 2554-2561 โดยมียอดสูงถึง 2.26 ล้านหน่วยในปี 2561 เนื่องจากความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในเชิงบวก และการนำเสนอรถรุ่นใหม่ๆ ซึ่งมีความหลากหลายมากขึ้น อินโดนีเซีย เป็นตลาดยานยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียนมูลค่าการส่งออกยานยนต์มีมูลค่าสูงถึง 203.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ ฯ ในปีที่ผ่านมา ซึ่งส่วนใหญ่ส่งออกไปยังประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคอาเซียน โดยรถนำเข้าแบบทั้งคัน (CBU) โตขึ้น 25.8 % หรือ 107,932 หน่วยในปี 2554 อินโดนีเซียมีแนวโน้มว่าจะเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ราคาถูกและรักษาสิ่งแวดล้อม (LOW-COST GREEN VEHICLES) ในอนาคต และยังเป็นฐานการผลิตยานยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียนเนื่องจากกำลังการผลิตของผู้ผลิตรถยนต์ต่างๆ ที่เพิ่มมากขึ้นเพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นของตลาดในระดับนานาชาติ รัฐบาลมาเลเซียได้ขยายการยกเว้นภาษีเต็มรูปแบบของภาษีนำเข้าและอากรขาภาษีสรรพสามิตของ รถยนต์ไฮบริดและรถยนต์ไฟฟ้าสำหรับรถที่มีขนาดเล็กกว่า 2,000 ซีซี จนถึงปลายปีหน้า ซึ่งนโยบายดังกล่าวทำให้ยอดขายรถรุ่นไฮบริดต่างๆ อาทิ HONDA INSIGHT, TOYOTA PRIUS และ 200H LEXUS CT มีการเติบโตอย่างมาก เวียดนาม ยอดขายยานยนต์ทั้งหมดลดลง 2 % และคาดว่ายอดขายในปี 2555 จะลดลงถึง 12 % ซึ่งเป็นผลกระทบจากนโยบายต่างๆ ของรัฐบาล อาทิ การจำกัดจำนวนรถยนต์นำเข้า และการจำกัดกรรมสิทธิในรถยนต์ส่วนตัวของประชาชน ความต้องการรถยนต์นั่ง โดยเฉพาะขนาด 2,000 CC หรือต่ำกว่านั้น ยังคงเพิ่มขึ้น เนื่องจากเหมาะกับสภาพถนนในประเทศเวียดนามและประหยัดเชื้อเพลิงมากกว่า นั่นคือสิ่งที่ต่างชาติมีมุมมองกับบ้านเรา และประเทศเพื่อนบ้าน รับทราบกันเอาไว้ เพื่อเป็นความรู้ก่อนเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน อย่างเต็มตัว อีกไม่นานเกินรอ กลับมาเข้าเรื่อง มาตรวัด ตัวเลขการขายเจ็ดเดือนที่ผ่านมา ทำสถิติ ด้วยยอด 731,190 คัน เพิ่มขึ้น 44.8 % เดือนกรกฎาคมเดียว ขายได้ 130,653 คัน เพิ่มถึง 79.2 % ค่ายรถยนต์ที่จำหน่ายได้มากที่สุด โตโยตา ขาย 48,460 คัน เพิ่ม 73.1 % ส่วนแบ่ง 37.1 % อันดับสอง ฮอนดา ขาย 20,508 คัน เพิ่มเยอะ 186.8 % ส่วนแบ่ง 15.7 % อันดับสาม อีซูซุ ขาย 16,700 คัน เพิ่ม 39.0 % ส่วนแบ่ง 12.8 % อันดับสี่ มิตซูบิชิ ขาย 12,215 คัน เพิ่ม 101.8 % ส่วนแบ่ง 9.3 % และอันดับห้า นิสสัน ขาย 8,393 คัน เพิ่ม 39.6 % ส่วนแบ่ง 6.4 % แยกเป็นประเภทรถยนต์นั่ง เดือนเดียว ขายได้ 60,995 คัน เพิ่ม 95.8 % รวมเจ็ดเดือน 300,364 คัน เพิ่ม 37.7 % โดยตำแหน่งแชมพ์ยังเป็นของ โตโยตา ขาย 20,429 คัน เพิ่ม 74.9 % ส่วนแบ่ง 33.5 % ที่สอง ฮอนดา ขาย 19,287 คัน เพิ่ม 185.2 % ส่วนแบ่ง 31.6 % ที่สาม นิสสัน ขาย 6,532 คัน เพิ่ม 57.0 % ส่วนแบ่ง 10.7 % ที่สี่ มิตซูบิชิ ขาย 4,328 คัน เพิ่ม 561.8 % ส่วนแบ่ง 7.1 % และที่ห้า มาซดา ขาย 4,105 คัน เพิ่ม 43.3% ส่วนแบ่ง 6.7 % ผู้เสียภาษียอดเยี่ยม แจกวาร์ ขายได้ 4 คัน มิตซูโอกะ แฟร์รารี และ มาเซาราตี เจ้าละ 1 คัน รถเพื่อการพาณิชย์ ก็เพิ่มตามไปกับเขาด้วย เดือนเดียวขาย 3,453 คัน เพิ่ม 67.5 % รวม 7 เดือนก็ยังเพิ่มอยู่ 20,347 คัน 33.7 % โดยมี อีซูซุ ขายได้ 1,848 คัน เพิ่ม 73.8% ส่วนแบ่ง 53.5 % ที่สอง ฮีโน ขาย 1,491 คัน เพิ่ม 67.9 % ส่วนแบ่ง 43.2 % และ มิตซูบิชิ ขาย 109 คัน เพิ่มด้วย 137.0 % ส่วนแบ่ง 3.2 % รถอเนกประสงค์หรือรถแวน ขาย 2,362 คัน เพิ่ม 20.1 % รวม 7 เดือน ขาย 15,452 คัน เพิ่ม 25.1 % โดยมี โตโยตา นำโด่ง 1,903 คัน เพิ่ม 22.9 % ส่วนแบ่ง 80.6 % มี ฮันเด ตามมา 349 คัน เพิ่ม 6.7 % ส่วนแบ่ง 14.8 % ยอดการขายแบบนี้ สิ้นปีนี้ได้เห็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของประเทศไทยแน่นอน ถ้าหน้าฝนนี้ พระพิรุณปรานีสักหน่อย ลงมาแค่พอท้วมๆ อย่าให้ท่วมเลยเจ้าประคุณ
เรื่องโดย : มือบ๊วย
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน ตุลาคม ปี 2555
คอลัมน์ Online : มาตรวัดตลาดรถ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/87639