โค้งอันตราย
ยิ้มกันอีก
ทำสถิตินิวไฮกันอีกครั้ง หลังยอดขายเดือนกรกฎาคม เพิ่มสูงปรี๊ด 79.2 % ขายกันทั้งตลาด 130,653 คัน ทำเอายอดรวม 7 เดือน พุ่งขึ้น 731,190 คัน ยังเพิ่มอยู่ 44.8 % ทำเอาได้รอยยิ้มกันถ้วนหน้า
ก็คาดกันว่า อีก 5 เดือนที่เหลือ วงการรถยนต์จะอยู่กันได้ด้วยรอยยิ้มทุกเดือน ถ้าไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้น แถมยังตั้งเป้าเอาไว้ว่า วันที่ 30 พฤศจิกายน นี้ จะมีการฉลองการผลิตรถยนต์ในประเทศได้ถึง 2 ล้านคัน
ทั้งหลายทั้งปวง เป็นผลจากความต้องการของลูกค้าที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากนโยบายรถคันแรก และรถยนต์รุ่นใหม่ ที่ออกสู่ตลาดกันอีกหลายรุ่น ทำเอาผู้ผลิต ต้องเพิ่มกำลังการผลิต เพื่อให้สามารถส่งมอบรถให้แก่ลูกค้าได้มากยิ่งขึ้น ทั้งหมดเป็นผลจากความชัดเจนของภาครัฐ เรื่องกรอบเวลาในการซื้อและส่งมอบรถยนต์คันแรก
ทั้งที่มีการยื้อเรื่องเอาไว้รอบหนึ่ง กว่าจะเคาะกันออกมาได้
วงการรถยนต์ก็มองกันว่า ปีนี้ ปีหน้า ยอดการขายรถยนต์จะเติบโตเป็นประวัติศาสตร์กันทีเดียว ส่วนปีโน้นถัดไปน่ะ คงต้องมานั่งวิเคราะห์กันอีกที เพราะเอาความต้องการล่วงหน้ามาใช้ไปหมดแล้ว
ถึงเวลานั้น ตลาดยานยนต์บ้านเรา โดยเฉพาะด้านการผลิต ที่บรรดา อีโคคาร์ ผลิตออกสู่ตลาดกันค่อนข้างเต็มที่แล้ว โรงงานที่กำลังขยับขยาย ก็เริ่มสายการผลิตได้แล้ว ยอดการผลิตของเรา จะเป็นอย่างไรกัน
แต่เชื่อกันได้ว่า ตลาดจะสดใสเพราะค่ายยักษ์ใหญ่ โตโยตา ขออนุมัติส่งเสริมการลงทุน หลายโครงการ มูลค่าสูงถึง 22,630 ล้านบาท เริ่มจากขยายกิจการผลิตรถยนต์นั่งส่วนบุคคล กำลังผลิตปีละ 100,000 คัน และชิ้นส่วนรถยนต์อีกปีละ 1,026,700 ชิ้น ลงทุนทั้งสิ้น 14,000 ล้านบาท ที่นิคมอุตสาหกรรมเกทเวย์ซิที
ส่วนที่สำโรง ก็ขอส่งเสริมเพื่อผลิตรถตู้ กำลังผลิต 18,000 คัน/ปี ลงทุนทั้งสิ้น 1,730 ล้านบาท
พร้อมกันนี้ สยามโตโยต้าอุตสาหกรรม ฯ ยังขอรับการส่งเสริมเพื่อขยายการผลิตเครื่องยนต์แกสโซลีนสำหรับรถยนต์นั่งส่วนบุคคลอีกปีละ 188,000 เครื่องลงทุน 6,900 ล้านบาท ที่โรงงานในนิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร จ. ชลบุรี
ก็คาดกันว่า ยักษ์ใหญ่เจ้านี้ จะเริ่มต้นการผลิตได้ปลายปีหน้า ส่วน อีโคคาร์ น่ะ โรงงานเกือบเสร็จแล้ว ยืนยันมาว่า ออกขายกลางปีหน้าแน่นอน
มาดูเรื่องน่าสนใจกันบ้าง
เรื่องนี้ ยืดเยื้อกันมานาน โครงสร้างภาษีสรรพสามิตรถยนต์ใหม่ ที่มีข่าวแพลมออกมาแล้ว ว่า กรมสรรพสามิต กระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงพลังงาน ได้ข้อสรุปกันแล้ว จะเพิ่มแรงจูงใจด้านการลดมลพิษ โดยกำหนดว่ารถยนต์ที่ปล่อยแกสคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) น้อยกว่า 200 กรัม/กิโลเมตร ให้เสียภาษีสรรพสามิตในอัตราปกติ หากปล่อย CO2 ต่ำกว่า 150 กรัม/กิโลเมตร จะได้ลดภาษีสรรพสามิต 5 % แต่หากปล่อย CO2 เกิน 200 กรัม/กิโลเมตร จะต้องเสียภาษีสรรพสามิตเพิ่มขึ้นอีก 5 %
ส่วนรถที่ใช้ อี 10 และอี 20 รวมอยู่ด้วย จากที่มีอัตราภาษีหลายอัตราตามขนาดเครื่องยนต์ และกำลังแรงม้าตั้งแต่ 25-50 % ก็จะลดลงเหลือ 2 อัตรา คือ คิดตามขนาดเครื่องยนต์ต่ำกว่า 3,000 ซีซี อัตราภาษี 30 % ขนาดเครื่องยนต์เกิน 3,000 ซีซี อัตราภาษี 50 % โดยให้แรงจูงใจการปล่อย CO2 ว่า ต่ำกว่า 150 กรัม/กิโลเมตร จะได้ลดภาษี 5 % แต่หากปล่อย CO2 เกิน 200 กรัม/กิโลเมตร ก็ต้องเสียภาษีเพิ่มขึ้น 5 %
แต่ภาครัฐก็มองว่า รัฐบาลได้ออกมาตรการสนับสนุนรถยนต์คันแรก เพื่อกระตุ้นกำลังซื้อภาคยานยนต์ภาคอุตสาหกรรมยานยนต์เอง ก็เพิ่งจะฟื้นจากปัญหาน้ำท่วม มีการวางเครื่องจักรสายการผลิตใหม่ เพื่อปรับเข้ากับระเบียบของ อีโคคาร์ ถ้าหากรัฐบาลออกมาตรการเพิ่มเติม จนทำให้โรงงานต้องปรับระบบไลน์การผลิตใหม่ ก็คงเป็นเรื่องสร้างปัญหาเสียมากกว่า
เรื่องนี้ก็จะยังคงเก็บไว้ในลิ้นชักต่อไป
ก็น่าจะเป็นอย่างนั้น เพราะการจะปรับเปลี่ยนของสายการผลิต มันต้องใช้เวลาพอสมควร โดยเฉพาะปรับโครงสร้างของเครื่องยนต์ ที่ไม่เคยมีการพูดถึงค่าไอเสียกันมาก่อน เพราะอยู่ในวังวนของการเก็บภาษีตามขนาดของเครื่องยนต์กันมานาน ถ้าจะแก้ไข ก็น่าจะค่อยๆ เริ่ม ออกมาตรการให้ต้องระบุข้อมูลทางเทคนิค ให้เหมือนกับเมืองนอกเขาบ้าง
ไหนๆ เราก็ผลิตออกไปขายต่างประเทศมากมาย บ้านอื่นเมืองอื่น เขาบังคับให้แสดงข้อมูลทางเทคนิค ทั้งเรื่องการปล่อยค่าไอเสีย
ความเร็วสูงสุด อัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ทั้งวิ่งในเมือง และนอกเมือง รถที่เราส่งไปขายก็ต้องแสดงข้อมูลทั้งนั้น
แต่บ้านเรา ไม่มีกฎระเบียบเรื่องนี้ นักข่าวก็ต้องเสาะหากันเอาเอง เพื่อเป็นข้อมูลในการทำงาน
น่าจะมีใครสักคน หรือสถาบันอะไรสักอย่าง เป็นตัวตั้งตัวตี ก็น่าจะดี เพื่อเป็นข้อมูลแก่ผู้บริโภคโดยละเอียด ให้เหมือนประเทศที่เจริญแล้วกันบ้าง
ส่วนข่าวปล่อยที่ออกมาบอกว่า "คมนาคม" เล็งแก้กฎกระทรวง เปิดทางรถอีโคคาร์ขนาด 1,300 ซีซี จดทะเบียนเป็นแทกซี จากเดิมกำหนดขนาด 1,500 ซีซี เหตุราคาถูกช่วยให้คนขับเป็นเจ้าของง่ายขึ้น และประหยัดน้ำมันทำให้ค่าโดยสารถูกลงได้
ก็ถูกวิจารณ์กันในหมู่นักข่าว เป็นที่สนุกสนาน เพราะเมื่อตอนที่กำหนดขนาด ซีซี มีรถที่โฆษณาว่าเครื่องยนต์ 1,500 ซีซี ขายอยู่ในตลาด แต่ข้อมูลทางเทคนิค มีขนาดไม่ถึง 1,500 แค่ 1,400 กว่าๆ ท่านยังไม่ยอมให้เป็นแทกซีเลย ท่านบอกว่า ต้อง 1,500 ซีซี เท่านั้น ถึงจะเป็นแทกซีได้
อ้อ ไม่ใช่รัฐบาลชุดนี้นี่นา
แค่ติดถังแกส ยังคิดไม่ออกว่าจะเอาไปวางตรงไหนเลยครับ พระเดชพระคุณ รถเล็กซะขนาดนั้น
ช่างคิดเนอะ
เรื่องโดย : มือบ๊วย
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน ตุลาคม ปี 2555
คอลัมน์ Online : โค้งอันตราย
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/87636