ร่มไม้ชายศาล
แก้นอนกรน
ผมยิ่งอยู่นานไปในเมืองไทย ก็เริ่มจะไม่เข้าใจการเมืองไทยเข้าทุกวัน ใครจะเป็นอย่างผมบ้างหรือไม่ ผมไม่ทราบแต่ผมก็ยังเข้าใจว่าคนเริ่มจะมีความรู้สึกอย่างผมนั้นมากขึ้นเรื่อยๆ
เพราะคนไทยทุกวันนี้ ถ้าหากว่าใครต้องการที่จะรู้ข่าวสารการเมืองด้วยการฟังวิทยุ หรืออ่านหนังสือพิมพ์ในตอนเช้าแล้ว สิ่งที่จะได้
รับเป็นความรู้ก็คือ นักการเมืองเขาจะด่ากันว่าอย่างไรบ้าง
จะสรรหาศัพท์ที่จะเอามาด่ากันให้เจ็บแสบนั้นอย่างไร และใครหาได้มากกว่าใคร หรือมิฉะนั้นก็นั่งคอยดูว่าใบมีดโกนอาบน้ำผึ้งนั้นจะบาดใครได้ลึกแค่ไหน ซึ่งทั้งหมดนี้ ไม่ทำให้เกิดสติปัญญา หรือทำให้ได้ทราบความเคลื่อนไหวในทางการเมือง หรือทำให้รู้หรือมองเห็นอนาคตของการเมืองไทยว่าจะเป็นไปในทิศทางใดทั้งสิ้น
เมื่อมีความรู้สึกเช่นนี้มากเข้า หรือมากขึ้นทุกวัน ผมก็จะเบื่อการเมือง และเบื่อข่าวการเมืองของไทยยิ่งขึ้นทุกวันเช่นเดียวกัน
นั่นคือข้อความซึ่งผมคัดลอกมาจากหนังสือ บันเทิงเริงรมย์ ของสำนักพิมพ์ดอกหญ้า ของท่าน ศาสตราจารย์ พลตรี หม่อมรางวงศ์ คึกฤทธิ์ ปราโมช อดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 13 และเป็นบุคคลสำคัญของโลก สาขาด้านการศึกษา วัฒนธรรม สังคม และการสื่อสารมวลชน ตามที่องค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) ได้ประกาศเกียรติคุณเมื่อวันที่ 22-23 ตุลาคม 2552
เป็นข้อความที่ท่านผู้เป็นเจ้าของได้เขียนขึ้น ด้วยความห่วงใยต่อบ้านเมืองอันเป็นที่รักของท่าน เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2536 นับถึงปัจจุบันเป็นเวลาเกือบ 2 ทศวรรษ ยาวนานไม่น้อย
เมื่อมาถึงวันนี้ ผมขอให้ท่านที่เคารพ ซึ่งเป็นคนไทย แสดงความคิดเห็นต่อสภาพการเมืองไทยเอาเอง ว่าเป็นอย่างไร เพราะเดี๋ยวนี้ชาวบ้านและสื่อต่างๆ ซึ่งเลิกความเป็นกลาง โดดเข้าร่วมวงด้วย แบ่งฝ่ายชัดเจน ด่ากันไฟแลบ ชนิดที่มีดโกนอาบน้ำผึ้งแทบตกยุค หากท่านอาจารย์คึกฤทธิ์หยั่งรู้ (ท่านเขียนไว้ด้วย เรียกท่านว่าหม่อมท่านสะดุ้งทุกที) คงเลิกล้มที่จะเกิดใหม่ในประเทศนี้กระมัง และต่อไปอนาคตของชาติบ้านเมืองที่เราอาศัยอยู่จะเป็นอย่างไร ผมพูดไม่ออกบอกไม่ถูกจริงๆ ครับ...
เข้าสู่รายการปกติว่าด้วยคดีความให้หย่อนสมองอย่างเคย
ชาวเยอรมันเป็นชนชาติที่ภาคภูมิใจในงานด้านวิศวกรรมเป็นอย่างยิ่ง เคยเจอตัวเป็นๆ เขาแสดงความรู้สึกอย่างมั่นใจว่า แจ๋วกว่าฝรั่งชาติอื่นๆ นั่นปะไร ด้วยเหตุนี้กระมังผลงานด้านยานยนต์ จึงทำให้คนไทยแทบทุกคน อยากเป็นเจ้า
ของรถนั่ง เช่น ตรา "ดาวสามแฉก" "นายโปะเชะ"เอามั่ง ทำท่าจะสมหวัง กำเงินดาวน์ไปผ่อนออกมาคันหนึ่ง แน่นอนราคาเป็นเงินล้านอยู่แล้ว ขี่ทำโก้แต่ไม่รอดสันดอน ไม่ช้าก็ขาดส่งงวด
บริษัทขายรถยี่ห้อนี้เดือดร้อน มีหนังสือบอกเลิกสัญญา ทวงถามให้ใช้หนี้ให้คืนรถ ให้พนักงานติดตามหารถ แต่ไม่พบ จึงหางานให้ศาลทำ ยื่นฟ้องเป็นคดีแพ่ง บังคับให้ นายโปะเชะ ชื่อน่าไว้ใจเหมือนกัน และผู้ค้ำประกัน คือ นางเจิดจ้า คืนรถหรือใช้ราคาจำนวน 1 ล้าน 6 แสนบาท และค่าขาดประโยชน์อีก 3 แสนกว่าบาท พร้อมดอกเบี้ย นายโปะเชะ และนางเจิดจ้า หายเข้ากลีบเมฆ ทั้งๆ ที่อยู่บนดิน ไม่สู้คดี ศาลตัดสินให้บริษัทชนะคดี
บริษัทยังเหนื่อย บังคับคดีไม่ได้ พยายามสืบหาตัวคนทั้ง 2 และหารถก็ไม่เจอ จึงหันไปเพิ่มงานให้ศาลล้มละลายกลาง ยื่นฟ้อง นายโปะเชะ กับนางเจิดจ้า อีกคดีหนึ่ง ให้เป็นคนล้มละลาย
นายโปะเชะ ซึ่งอยากขี่ เมร์เซเดส-เบนซ์ ยืดคอในสังคมไม่สู้คดี นางเจิดจ้า ก็หมดหนทาง ไม่สู้คดีเช่นกัน บริษัทเจ้าของรถ น่าจะชนะคดีโดยง่าย แต่ผิดคาด
ศาลล้มละลายกลางมองว่า จำนวนหนี้ยังไม่แน่นอน จึงพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ คือ บริษัทเจ้าของรถต้องเหงื่อซึมเพิ่มขึ้น ให้ทนายยื่นอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา ยืนยันว่าต้องผลักให้จำเลยล้มละลายได้แน่ๆ
ศาลฎีกากัดฟันคว้าสำนวนคดีนี้มาส่องดู กัดฟันเพราะคดีรอคิวบานตะเกียง พิจารณาแล้วชี้ขาดออกมาว่า
ศาลแพ่งมีคำพิพากษาให้ นายโปะเชะ และนางเจิดจ้า ส่งมอบรถที่เช่าซื้อคืนให้บริษัท คืนไม่ได้ให้ร่วมกันใช้ราคาแทนเป็นเงิน 1 ล้าน 6 แสนบาท บริษัทติดตามยึดรถเรื่อยมา แต่หาไม่พบ เห็นได้ว่าบริษัทไม่สามารถบังคับ
ให้ทั้งสองคืนรถได้ บริษัทจึงมีสิทธิ์เรียกให้คนทั้งสอง ชดใช้ราคาแทนเป็นเงิน 1 ล้าน 6 แสนบาท ตามคำตัดสินศาลแพ่ง หนี้ส่วนนี้เป็นหนี้ที่อาจกำหนดจำนวนได้โดยแน่นอนแล้ว เมื่อรวมกับค่าเสียหาย คือ ค่าขาดประโยชน์อีก ๓ แสนกว่าบาด พร้อมดอกเบี้ย คนทั้งสอง จึงเป็นหนี้บริษัทจำนวนแน่นอนไม่น้อยกว่า 1 ล้านบาท บริษัทมีหนังสือทวงถามส่งทางไปรษณีย์ตอบรับและประกาศหนังสือพิมพ์ ถือว่าทั้งสองได้รับหนังสือทวงถามโดยชอบแต่ไม่ชำระหนี้ พฤติ การณ์ต้องด้วยข้อสันนิษฐานว่า มีหนี้สินล้นพ้นตัวตามพระราชบัญญัติล้มละลาย ฯ ทั้งสองมีหน้าที่นำพยาน หลักฐานมาสืบหักล้าง แต่ขาดนัด จึงฟังได้ว่าทั้งสองมีหนี้สินล้นพ้นตัว สมควรมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด ศาลล้มละลายกลางยกฟ้อง ศาลฎีกาไม่เอาด้วยหรอก
ศาลฎีกาเวียนหัวเล็กน้อย ด้วยการพิพากษากลับ ให้พิทักษ์ทรัพย์ของ นายโปะเชะ และนางเจิดจ้า เด็ดขาดตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พศ. 2483 มาตรา 14
นี่ละครับ ถ้ามักน้อยขี่เก๋งธรรมดา ก็ไม่เดือดร้อนไม่โดนขนาดนั้น ทุกวันนี้ผ่อนรถกระบะปาเข้าไปเป็นล้านหรือล้านแล้วจ้า ผมละเสียว ชะดีชะร้ายเจอล้มละลาย จบไม่สวยเชียวก็แล้วกัน
จากคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5399/2550
เรื่องโดย : จอมยุทธ
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน ตุลาคม ปี 2555
คอลัมน์ Online : ร่มไม้ชายศาล
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/87633