รอบรู้เรื่องรถ
ทำไมต้อง อี 85 ?
ก่อนที่จะรู้จักเชื้อเพลิงใหม่ ทันสมัย ของผู้ใช้รถยุคนี้ เราควรรู้ต้นกำเนิดของเชื้อเพลิง "ดั้งเดิม" ของเรากันก่อนครับ ที่เรียกกันในแบบที่คนไทยคุ้นเคย ว่าน้ำมันเบนซิน นั่นเอง ส่วนใหญ่เราก็พอทราบกันอยู่ว่า ได้มาจากน้ำมันดิบใต้ดิน ซึ่งก็คือของเหลวสีดำ ข้นพอสมควรใครที่ไม่ได้เรียนสายวิทยาศาสตร์มา อาจเคยสงสัยว่า เจ้าของเหลวสีดำนี้ มันพิเศษกว่าของเหลวอื่นตรงไหน ถึงเอามาแปลงสภาพเป็นเชื้อเพลิงได้หลายแบบ ทำไมจึงใช้ของเหลวอื่นแทนไม่ได้ ทำไมโคลนเลนก้นบ่อ ก้นแม่น้ำ ไม่มีคุณสมบัติเช่นนี้บ้าง ห้วใจของเรื่องทั้งหมดนี้ อยู่ที่สิ่งเดียวครับ คือ พลังงานกับหลักการสำคัญยิ่งยวด นั่นคือ พลังงานทั้งหลายในจักรวาล จะไม่สูญหายไปเฉยๆ และก็จะไม่มีใครทำให้มันเกิดมาเฉยๆ ลอยๆ ได้เลย การที่เรารู้สึกว่ามันเกิดขึ้นมา หรือหายไปได้เองเป็นเพราะเราไม่เข้าในกฎเกณฑ์นี้ครับ ที่จริงแล้วเป็นการเปลี่ยนรูปแบบของพลังงานเท่านั้นเอง
ลองดูตัวอย่างง่ายๆ ให้พอเห็นภาพนะครับ โดยการขว้างดินเหนียว หรือดินน้ำมันเข้าใส่ผนังห้องที่ทำด้วยไม้ ต้นทาง "ชั่วคราว" ของพลังงานในตัวอย่างนี้อยู่ที่มือและแขนของเรา ออกแรงเร่งมวลของดินน้ำมัน เมื่อหลุดออกจากมือ พลังงานจะถูกแปลงไปอยู่ในดินน้ำมันที่เคลื่อนที่เมื่อปะทะกับฝาผนัง เนื้อดินน้ำมันจะหยุดนิ่งแต่พลังงานไม่สูญหายครับ มันถูกเปลี่ยนรูปไปเป็นพลังงานความร้อน จากการเปลี่ยนรูปทรงของดินน้ำมัน เช่น เดิมเป็นก้อนกลม ก็จะแบนติดฝาผนังตอนเปลี่ยนรูปร่าง เนื้อของมันจะเสียดสีกัน กลายเป็นพลังงานความร้อน ถ้าเรามีเธอร์โมมิเตอร์ ความไวสูง และละเอียดพอ เสียบเข้าไปวัดในเนื้อดินน้ำมันทันที ก็จะเห็นว่ามันร้อนกว่า ตอนก่อนปะทะฝาห้องครับ สมมติให้พลังงานนี้มีค่าสัก 70 % ของตอนที่ออกจากมือเรา ที่เหลือคือพลังงานที่ทำให้ฝาผนังสั่น และส่วนที่ฝาผนังกระแทกอากาศให้เกิดคลื่นเสียง มาเข้าหูเราได้รวมกันอีกกว่า 20 % ที่เหลือเศษจนครบ 100 % ก็เป็นพลังงานความร้อนที่ก้อนดินน้ำมัน "ถ่ายเท" ให้กับอากาศที่ถูกอัดด้านหน้าก้อนดินน้ำมัน และถูก "แหวก" ออกด้านข้าง ตั้งแต่ออกจากมือเรา จนกระทบกับฝาผนัง แล้วพลังงาน "ต้นทาง" จริงๆ มาจากไหน ? ไม่มีใคร "สร้าง" หรือผลิตได้ครับ เพราะฉะนั้น มือ และแขนของเรา ก็ต้องแปลงมันมาจากพลังงานในรูปแบบอื่นแน่นอน ก็เอามาจากอาหาร ซึ่งก็คือพืชและสัตว์ที่เรากินเข้าไปนั่นเองครับ ผมขอยกตัวอย่างแค่จากพืชเท่านั้น พลังงานนี้ก็มาจากน้ำตาลหลายรูปแบบที่กล้ามเนื้อได้รับ เช่น กลูโคส ไกลโคเจน แล้วก็ยังมีพวกกรดไขมันหลายอย่าง ซึ่งก็ได้มาจากการย่อยและแปรสภาพพืชที่เรากินเข้าไปนี่เอง ไม่ว่าจะเป็นราก ลำต้น ใบ ดอก หรือ ผล ก็ตาม แล้วพืชได้พลังงานมาจากไหน ? ก็จากแสงแดด ที่เดินทางมา 8 นาทีจากดวงอาทิตย์ครับ รายละเอียดขอไปอธิบายตอนถึงเรื่อง อี-85 นะครับจะได้ไม่ซ้ำ
ขอกลับมาเข้าเรื่องเชื้อเพลิงสำหรับเครื่องยนต์อีกครั้ง ถึงตอนนี้เราทราบแล้วว่าในพืชมีพลังงานที่แปลงสภาพมาจากแสงแดด สะสมอยู่ในทุกส่วนของต้นไม้ เมื่อมันตายเน่าเปื่อยทับถมกันนานมาก ก็แปรสภาพไปมากมายหลายขั้นตอน จนกลายเป็นน้ำมันดิบใต้ดิน ไม่ว่าจะเปลี่ยนไปอยู่ในสถานะไหน รูปแบบใด ถ้าไม่มีการคายพลังงานออกมา พลังงานนี้ก็จะยังคงอยู่ใน "เนื้อ" ของมันเสมอ ถึงตอนนี้เป็นจุดสำคัญที่สุด ที่ผมอยากให้ผู้อ่านเข้าใจจริงๆ เห็นภาพจริงชัดแจ้ง เหมือนมองผ่านกระจกหน้ารถที่ใสสะอาด พลังงานในน้ำมันดิบนี้มันอยู่ของมันอย่างนี้เอง ตากกฎของจักรวาล ว่ามันย่อมไม่หายไปเฉยๆ ได้เอง ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น ไม่มีใครรู้ว่า ถ้ามนุษย์ไม่อุตริไปสูบมันขึ้นมา อีกหลายแสนล้านปี มันจะกลายสภาพไปเป็นอะไรอีก สรุปแล้วเจ้าน้ำมันดิบนี้มันเป็นวิวัฒนาการตามธรรมชาติโดยแท้ ไม่ได้เกิดขึ้นมาเพื่อรับใช้ เป็นเชื้อเพลิงให้มนุษยชาติแต่อย่างใดทั้งสิ้น มนุษย์เราไปพบโดยบังเอิญ ว่ามันมีพลังงานสะสมอยู่ใน "เนื้อ" กระตุ้นมันด้วยความร้อน ให้มันทำปฏิกิริยากับออกซิเจนในอากาศแล้ว มันจะคายพลังงานความร้อนออกมาได้มากพอสมควร ประกอบกับความเป็นนักคิด นักประดิษฐ์ของมนุษย์เรา ที่สร้างเครื่องมือเปลี่ยนพลังงานความร้อนในน้ำมันดิบนี้ ให้กลายเป็นพลังงานกล เอามาหมุน ดัน หรือ โยกอะไรก็ได้ แทน ช้าง ม้า วัว ควาย ลา ล่อ ฯลฯ โดยไม่มีการเหน็ดเหนื่อย เหมือนสัตว์ สร้างผลผลิตได้มากขึ้น อุตสาหกรรมที่ใช้แรงจากเครื่องจักรในการผลิต จึงเบ่งบาน ฝ่ายขุดน้ำมันดิบขึ้นมากลั่น ก็โหมสนองความต้องการเต็มที่ เพราะความโลภ บวกกับการขาดความรู้ จึงมองไม่เห็นอันตรายของมันในอนาคตไม่มีใครรู้ในตอนนั้น ว่าคาร์บอนไดออกไซด์จากการเผาไหม้เชื้อเพลิงจากน้ำมันดิบ จะก่อหายนะให้แก่มนุษยชาติได้ดังเช่น ที่เผชิญกันอยู่ในขณะนี้ และในอนาคตครับ พูดง่ายๆ ก็คือ โง่อยู่นาน กว่าจะรู้ตัว ก็สายเกินไปเสียแล้ว
เอธานอล หรือเอธิลแอลกอฮอล เป็นเชื้อเพลิงเหลวรูปแบบหนึ่ง ที่ได้จากพืชครับ ไม่ว่าจะเป็นเชื้อเพลิงจากน้ำมันดิบ หรือจากพืช จะต้องมีไฮโดรเจนเป็นส่วนประกอบเสมอ โดยอยู่ในรูปสารประกอบ ไฮโดรคาร์บอน เป็นโมเลกุลมากมายหลายรูปแบบ ที่ประกอบไปด้วยอะตอมของคาร์บอน และไฮโดรเจน มีความแตกต่างที่สำคัญระหว่างเชื้อเพลิงทั้งสองประเภทอยู่บางประการครับ น้ำมันดิบมีแหล่งตายตัวอยู่ใต้ผิวโลก ขึ้นอยู่กับโชคว่าใคร หรือประเทศใด ชนชาติใด จะครอบครองผิวโลกเหนือมันอยู่ และก็ไม่แน่ว่าจะโชคดี หรือโชคร้ายด้วย ที่ครอบครองมัน ถ้าคุ้มครองตัวเองได้ก็สูบมันขึ้นมาขาย ได้เงินมากมาย แต่ถ้ามีมัน แต่คุ้มครองตนเองไม่ได้มากมาย เช่น อิรัค เป็นต้น ส่วนเอธานอลนั้น เราผลิต หรือ "ปลูก" ขึ้นมาได้ครับ ขอเพียงมีดินที่ดีพอ เอธานอลถูกผลิตได้จากพืชมากมายหลายชนิดครับ เช่น อ้อย มันฝรั่ง ข้าว ทานตะวัน ข้าวโพด ข้าวสาลี ฯลฯ พูดง่ายๆ ก็คือ พืชทั้งหลายที่นำมาหมักให้เป็นน้ำตาลได้
ลองมาไล่กันตั้งแต่ต้นทางดูครับ ว่าพลังงานในเอธานอล มาจากไหน ถึงได้ทำให้เครื่องยนต์ขับเคลื่อนรถของเราได้ เริ่มกันที่ต้นไม้เลย ต้นไม้หายใจเอาคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) เข้าไปแล้วดูดน้ำ (H2O) จากดิน ผสมกันโดยอาศัยพลังงานในแสงแดด ที่ส่งมาจากดวงอาทิตย์ จะได้กลูโคส (C6H12O6) และ ออกซิเจน (O2) ที่มันคาย หรือ หายใจออก ปฏิกิริยาที่ว่านี้ เรารู้จักกันตอนเรียนชั้นมัธยมว่าการสังเคราะห์แสง ถ้าเราอยากได้ เอธานอลก็ต้องเอาพืช ไม่ว่าส่วนไหนก็ตามที่ มีกลูโคสอยู่มาหมัก ก็จะได้เอธานอล และคาร์บอนไดออกไซด์ และความร้อน ขั้นตอนที่สาม คือ การนำ เอธานอลไปเผาไหม้ในเครื่องยนต์ โดยทำให้เป็นไอ คลุกกับอากาศที่มีออกซิเจน ช่วยในการลุกไหม้ ก็จะได้พลังงานความร้อน (ที่ทำให้แกสขยายตัวดันหัวลูกสูบ) คาร์บอนไดออกไซด์ (และคาร์บอนมอนอกไซด์ หากเผาไหม้ไม่สมบูรณ์) และน้ำถ้าจับสมการเคมีทั้ง 3 ขั้นตอนมารวมกัน เราก็จะเหลือด้านซ้าย เป็นพลังงานในแสงแดดส่วนด้านขวาของสมการ เป็นความร้อนในห้องเผาไหม้ของเครื่องยนต์ครับ สารอื่นทั้งหมดเป็นสารระหว่างกระบวนการเท่านั้น พูดง่ายๆ ก็คือพลังงานต้นทางที่ขับเคลื่อนรถที่ใช้เอธานอลผสมเชื้อเพลิงที่ได้จากน้ำมันดิบกี่เปอร์เซนต์ก็ตาม คือพลังงานจากดวงอาทิตย์ในรูปของแสงแดดนั่งเอง แน่นอนอยู่แล้ว ว่าประเทศใดก็ตาม ที่บริโภคพลังงานขับเคลื่อนยานพาหนะสูง ไม่มีน้ำมันดิบใต้ดินมากพอ แต่มีพื้นที่เปล่ามาก ดินมีคุณภาพ ควรใช้พลังงานที่ "ปลูก" หรือผลิตได้เอง แทนที่จะซื้อจากต่างชาติในรูปของน้ำมันดิบ วิธีนำเอธานอลมาใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับยานพาหนะ มี 2 แนวด้วยกันครับ แบบแรกคือ ผสมเป็นส่วนน้อยกับเบนซิน เป็นการช่วยลดต้นทุน โดยไม่ต้องดัดแปลงเครื่องยนต์ เช่น เอธานอล 10 % หรือ อี-10 ที่รู้จักกันในชื่อแกสโซฮอล หรืออาจขยับมาเป็น 20 % ในชื่อ อี-20 เป็นต้น กับอีกแนวหนึ่ง คือ ต้องการใช้เอธานอลให้มากที่สุด แต่ถ้าใช้ล้วนๆ ก็จะได้จุดอ่อนมากเกินไปจนไม่คุ้ม จึงผสมเบนซินไว้บ้าง เช่น เอธานอล 85 % หรือ อี-85 จุดอ่อนของเอธานอล เมื่อนำมาเป็นเชื้อเพลิงของยานพาหนะ คือ ถ้าเข้มถึงระดับหนึ่ง อาจกัดกร่อนวัสดุของระบบเชื้อเพลิง เช่น ยาง พลาสติค อลูมิเนียมกับอีกข้อ คือ การมีพลังงานน้อยกว่าเบนซินราวๆ 34 % เมื่อเทียบปริมาตรเท่ากัน
หมายความว่า รถของเราที่ใช้เอธานอลล้วน จะแล่นไปได้ระยะทางสั้นกว่าเมื่อใช้เบนซินในปริมาตรเท่ากัน (เช่น ระยะทางต่อลิตร) 34 % ในทางทฤษฎี ที่จริงแล้วเอธานอลมีคุณสมบัติเหนือกว่าเบนซิน เมื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงของรถยนต์อยู่อย่างหนึ่ง นั่นคือ มีค่าออคเทนสูงกว่ามาก สามารถเพิ่มอัตราส่วนการอัดของเครื่องยนต์ได้ ซึ่งส่งผลให้ความสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงลดลงได้อีก ปัญหาอยู่ที่ เราไม่สามารถนำหลักการนี้ มาใช้กับรถที่เลือกใช้เชื้อเพลิงได้หลายอย่าง (FLEXIBLE-FUEL VEHICLE) เพราะต้องรักษาอัตราส่วนการอัด (COMPRESSION RATIO) ไว้ในระดับที่ใช้เบนซินล้วน หรือ อี-10 ได้ด้วย ผู้ผลิตอาจทำได้เพียง ใช้พโรแกรมที่ปรับตำแหน่งจุดระเบิด (IGNITION TIMING) ให้เหมาะเมื่อใช้เอธานอลในสัดส่วนสูง เช่น อี-85 ครับ จากการทดสอบรถบางรุ่นในต่างประเทศ ระยะทางที่ทำได้เมื่อใช้ อี-85 แทนเบนซินในปริมาตรเท่ากัน เช่น ต่อ 1 ลิตร ลดลงราวๆ 25 % เช่น จาก 100 กม. เหลือ 75 กม. หรือจาก 10 กม./ลิตร เหลือ 7.5 กม./ลิตร เพราะฉะนั้นการใช้ อี-85 จะช่วยให้ประหยัด (เงินของเรา) เพียงใด ขึ้นอยู่กับส่วนต่างของราคาเชื้อเพลิงครับ เช่น ระหว่าง อี-10, อี-20 และ อี-85 เนื่องจากเราไม่มีค่าความสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่เชื่อถือได้สำหรับรถของเรา จึงเหลือวิธีเดียวเท่านั้นนั่นคือ การวัดผลจากการใช้งานระยะทางมากพอ ว่าเราจะจ่ายเงินค่าเชื้อเพลิงแบบใดน้อยที่สุด ในระยะทางเท่ากัน และสภาพใช้งานเหมือนๆ กัน เท่านั้นครับ
อันตราย
มีผู้ใช้รถที่ไม่ได้ถูกผลิตมา ให้ใช้ อี-85 (E-85) เป็นเชื้อเพลิง กำลังนิยมเติมเชื้อเพลิงนี้ ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เพราะเห็นราคาถูกดี ห้ามใช้เด็ดขาดครับ ด้วยเหตุผลที่ผมได้อธิบายไปแล้ว เช่น วัสดุหลายอย่างของระบบเชื้อเพลิง จะถูกเมธีล แอลกอฮอล (ซึ่งมีผสมอยู่ถึง 85 % ตามชื่อ) กัดกร่อนให้ชำรุด นอกจากนี้อัตราที่เชื้อเพลิงถูกจ่ายให้แก่เครื่องยนต์ ซึ่งต้องสูงเป็นพิเศษ เพราะพลังงานในเอธิลแอลกอฮอล น้อยกว่าในเบนซินอย่างมากในปริมาตรเท่ากัน ส่วนผสมของไอดี จะจางเกินไป จนอาจชำรุดได้ อย่างน้อยที่สุดกำลังที่ได้จากเครื่องยนต์จะลดลงต่ำกว่าปกติแน่นอน และระวังพวกที่ขายหน่วยควบคุมอีเลคทรอนิค หรือ อีซียู ไว้ด้วยครับ ที่อ้างว่าใช้ควบกับของเดิมแล้ว จะทำให้ใช้ อี-85 ได้ เป็นไปไม่ได้ครับ เพราะรถที่สร้างมาเพื่อใช้เบนซิน จะไม่สามารถจ่ายเชื้อเพลิงในอัตราไหลที่สูงพอสำหรับเอธิลแอลกอฮอล์ 85 % ใน อี-85 ได้เลย ผู้จำหน่ายเชื้อเพลิง อี-85 จะต้องอบรมพนักงาน ว่าห้ามเติมเชื้อเพลิงนี้แก่รถที่ไม่ได้ถูกสร้างมาโดยเฉพาะเด็ดขาดครับ เช่น ตรวจสอบสติคเกอร์ อี-85 ที่ฝาเติมเชื้อเพลิง
เรื่องโดย : เจษฎา ตัณฑเศรษฐี
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน ตุลาคม ปี 2555
คอลัมน์ Online : รอบรู้เรื่องรถ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/87578