ชีวิตคือความรื่นรมย์
ด้วยรักและคิดถึง
นานๆ เพื่อนสนิทมาจากต่างจังหวัด จึงนัดกินข้าวกันตามประสา "เพื่อนกินหายาก" ในยามนี้ ร้านที่นัดกันก็อยู่ไกลบ้านชนิดขึ้นทางด่วนข้ามเมืองจากปากน้ำ (บางนา) ถึงนนทบุรี (ปากเกร็ด) เพราะร้านปลาเผาที่เหมาะสำหรับผู้มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกันนั้นมีน้อยลงทุกที (ทั้งร้านและเพื่อนที่คุยถูกคอ)ขณะที่ขับรถกลับบ้านตอนดึกได้ยินเสียงร้องของสาวน้อยเสียงใส (ที่มองเห็นหน้าไกลๆ ตอนเธอแสดงเป็นอังศุมาลินในละครการกุศลเรื่อง คู่กรรม นิยายรักอมตะของเพื่อนรักรุ่นราวคราวเดียวกันกับเราในนามปากกา ทมยันตรี) แต่เสียงร้องของเธอสดใสมากจนอดถึงเพื่อนซึ่งนามสกุลเดียวกับเธอ...ณ หนองคาย ไม่ได้ นั่งฟังเสียงร้องในเพลง เสียงกระซิบจากเกลียวคลื่น ซึ่งเราเคยชอบในน้ำเสียงของ รวงทอง ทองลั่นทม (ชื่อสมัยก่อน ตอนเราเป็นหนุ่ม) ผู้เคยได้รับพระราชทานรางวัล ใบโพธิ์ทองคำ ในฐานะผู้ขับร้องเพลงภาษาไทยได้ชัดเจน หรือบัดนี้คือ รวงทอง ทองลั่นธม ศิลปินแห่งชาติ (สาขาศิลปะการแสดง -นักร้องเพลงไทยสากล) ปี 2539 แต่ดึกคืนนี้ฟังเสียงสาวน้อยนาม ธีรนัยน์ ณ หนองคาย ที่ขับร้อง โดยประกอบดนตรีแสนไพเราะจากวงซิมโฟนีไทยนาม BSO หรือ BANGKOK SYMPHONY ORCHESTRA ฟังแล้วเพราะจับใจ จนความคิดถึงเพื่อนเก่า นาม เศรษฐวัฒน์ ณ หนองคาย ที่จากไปเมื่อหลายปีก่อนก่อนวัยอันควร-ก็รื้นขึ้นมาในอก นี่ถ้าสมมติว่าเธอเป็นลูกสาวของเพื่อนรักคนนั้น เขาคงจะภาคภูมิใจในความสามารถของเธอไม่น้อยทีเดียวเทียว ข้าพเจ้าไม่มีวันลืมเพื่อนรักคนนั้น เพราะเป็นคนที่มาปลุกความรักในวงวรรณศิลป์ของข้าพเจ้าซึ่งจวนจะมอดดับไปแล้ว ให้คุโชนขึ้นมาอีกครั้งเมื่อวันที่ระลึกถึงพระสุนทรโวหาร หรือ สุนทรภู่ 26 มิถุนายน 2520 และยังไม่มอดดับจนกระทั่งวันนี้ ข้าพเจ้าไม่เคยลืมว่า บางครั้งเมื่อข้าพเจ้าไปเล่นสักวากลับมา เขียนรายงานการแสดงแล้วไม่ทราบจะลงที่ไหน เขาก็นำไปลงในเดลินิวส์ที่เขาทำงานอยู่หลายครั้ง (ช่วงที่ย้ายสำนักมาสถิตบริเวณซอยกล้วยน้ำไท) แล้ววันหนึ่ง ขณะที่ไปส่งข่าวของบริษัทที่เดลินิวส์ ข้าพเจ้าเกิดปวดท้องอย่างกะทันหันจนตัวงอ เศรษฐวัฒน์ หอบข้าพเจ้าเข้าโรงพยาบาลกล้วยน้ำไท หาห้องพักเสร็จสั่งเสียพยาบาลให้ดูแลข้าพเจ้าให้ดีที่สุด กลับไปปิดหน้าหนังสือพิมพ์ เสร็จแล้วกลับมาดูอาการของข้าพเจ้าซึ่งหมอฉีดยาและให้ยามาจำนวนหนึ่ง พอภรรยามารับข้าพเจ้ากลับบ้าน ปรากฏว่าเขาจัดการจ่ายเงินให้เรียบร้อยแล้ว หลังจากเคยออกรายการ ลับแลกลอนสด ณ โทรทัศน์ไทยทีวี ช่อง 4 บางขุนพรหม ในคืน วันพุธที่ 22 พฤษภาคม 2502 แล้ว หลังจากนั้น ข้าพเจ้าก็ไปเป็นครูอยู่ที่นครพนมร่วม 10 ปี จนคิดว่าตนได้กลายเป็นแค่รอยรำลึกอันลางเลือนในวงการไปแล้ว แต่แล้ววันหนึ่งขณะที่ประจำหน้าที่พนักงานฝ่ายประชาสัมพันธ์ที่บริษัทเชลล์แห่งประเทศไทย เพื่อนรักที่ชื่อ เศรษฐวัฒน์ ณ หนองคาย นิเทศศาสตร์บัณฑิตจากจุฬา ฯ ซึ่งตอนนั้นไปรับทำประชาสัมพันธ์ให้ให้บริษัท ธนบุรีพานิช ฯ (เจ้าของกรรมสิทธิ์นำเข้ารถ เมร์เซเดส-เบนซ์ ) ก็โทรศัพท์ไปขอให้ข้าพเจ้าจัดหาเพื่อน ให้ไปฟื้นการแสดงสักวาที่กลางสระน้ำ ในพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งนาม เมืองโบราณ ที่สมุทรปราการ โดยจะจัดเรือ 3 ลำ ให้นักสักวา หญิง 1 ชาย 1 หญิง 1 และนักดนตรีนักร้องอีก ๑ แต่ปรากฏว่าไม่สะดวกสำหรับตั้งเคื่องและนักดนตรี จึงให้นักดนตรีแล่นอยู่บนศาลาริมน้ำ ส่วนนักร้อง ให้ลงเรือไปกับนักสักวา แล้วใช้ไมค์ลอยส่งเสียงบอกกลอนและให้นักร้องร้อง โดยมีดนตรีบรรเลงอยู่บนฝั่ง ปรากฏว่าทุลักทุเลพอควร แต่คนฟังก็ปรบมือแสดงความพอใจ อาจเพราะไม่ได้ชมมานาน (ความจริง บางคนไม่เคยชมและฟังมาก่อนในชีวิต เช่น หลากหลายคนในปัจจุบัน) อุปสรรคในการจัดการแสดงเลยเป็นความสนุกสนานไปอีกแบบหนึ่ง ขอรวบรัดตัดตอนไปที่การตามจับตัวมิตรสหาย และน้องๆ ที่กำลังมีฝีมือในการกลอน นอกจาก วิจิตร ปิ่นจินดา (หรือเจษฎา วิจิตร)แล้ว เพื่อนรุ่นอาวุโสอย่าง สนธิกาญจน์ กาญจนาสน์ อนันต์ สวัสดิพละ สวัสดิ์ ธงครีเจริญ ต่างไม่ยอม อ้างว่ากลัวเจ็บตัวเพราะเรื้อเวทีมานาน จึงได้แต่ เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ นิภา บางยี่ขัน ทวีสุข ทองถาวร ดวงใจ รวิปรีชา (สี่มือทองจากธรรมศาสตร์) นลพรรณ หรือ สมหมาย พิมพ์สมาน นักกลอนรุ่นน้องจากสำนักเทวาลัย และสุรินทร์ ประสพพฤกษ์ นักกลอนฝีมือเด่นจากวิทยาลัยนาฏศิลป์ อาสามาช่วย โดยมี สมประสงค์ (สถาปิตานนท์) ปิ่นจินดา มาช่วยแจกตัว และมรว. อรฉัตร (ศุขสวัสดิ์) ซองทอง มาช่วย ไหว้ครู และว่าบทลาให้ ส่วนนักร้องนักดนตรี ได้วงดนตรีไทยคณะดุริยประณีตในความควบคุมของครู สุดจิตต์ ดุริยประณีต (ต่อมาได้รับยกย่องเป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง-คีตศิลป์ ปี 2536 ปีเดียวกับอาจารย์ประคิณ ชุมสาย ณ อยุธยา หรืออุชเชนี และเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์) มีนักร้องคือครูสุดจิตต์ ดุริยประณีต ครูแจ้ง คล้ายสีทอง(ต่อมาได้รับยกย่องเป็นศิลปินแห่งชาติ-สาขาศิลปะการแสดง-คีตศิลป์ 2538) ครูดวงเนตร ดุริยพันธุ์ ครูสมชาย ทับพร โดยมีวินัย ภู่ระหงษ์ นักกลอนฝีมือดี (ได้รับยกย่องเป็นปูชนียบุคคลในปัจจุบัน) ไม่ยอมลงเล่นกลอน แต่รับอาสาอัดเทปให้ เราจึงมีบทกลอนและบรรยากาศมารายงานได้ บทกลอนที่ช่วยจุดประกายให้เรามีไฟแสดงสักวาต่อๆ มาได้ในวันนี้ พอจะยกตัวอย่างได้บางบท ซึ่งเสียดสีบรรยากาศการบ้านเมืองในยุคนั้น เรียกเสียงฮา (ถึงฮิ้วก็มี) และปรบมือดังลั่น ดังนี้ เนาวรัตน์ (พระอภัยมณี เพลงน้ำลอดใต้ทราย-ครูแจ้ง ขับร้อง) สักวาพระอภัยดีใจนัก หนีนางยักษ์มาได้หลายวันผ่าน ขี่เงือกน้อยลอยโผล่เมืองโบราณ (ฮา) เห็นเกาะแก้วพิสดารละลานตา มีพระปรางค์ปราสาทตลาดน้ำ (ภูมิทัศน์บรรยากาศของพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งของเมืองโบราณ) บ้างลอยลำเล่นกลอนสลอนหน้า (ฮา) สินสมุทรล่อแม่ไปเร่งไคลคลา หลบระเบิดเวลาน่ากลัวเอย(ฮา ปรบมือดัง ตอนนั้นในช่วงรัฐบาลนายก ฯ ธานินทร์ กรัยวิเชียร มีระเบิดเวลาหลายครั้ง) นิภา (นางผีเสื้อ-เพลงกระทงน้อย-ครูสุดจิตต์ ขับร้อง) สักวาปลดระวางเป็นนางยักษ์ (เคยเล่นบทนางเอกบ่อยๆมาก่อน) เห็นน้ำขุ่นเขียวนักไม่น่าว่าย (ฮา-น้ำในสระน้ำเมืองโบราณตอนนั้น) แต่ห่วงพระอภัยดังใจกาย ซังกะตายตามหากลางวารี สินสมุทรบุตรผู้บังเกิดเกล้า ฤๅษีเล่าไม่ยึดถือพรตฤๅษี มนุษย์ผู้ชายทุกยุคเป็นอย่างนี้ พอได้ดีอีเฒ่าเก่าไปเอย(ฮา-ปรบมือ) สุรินทร์ (สินสมุทร เพลงนาคบริพัตร สมชาย ขับร้อง) สักวาผมสุรินทร์เป็นสินสมุทร เกิดจากรักอุตลุดเหตุสุดวิสัย (ฮาดังมาก-ตอนนั้นหนังเรื่องรักอุตลุด ของเปี๊ยก โปสเตอร์กำลังดังระเบิด) พ่อพาเที่ยวเมืองโบราณเบิกบานใจ มีเงือกสาวเป็นไก๊ด์ไฉไลไม่เบา (ฮา-ไก๊ด์ของเมืองโบราณสาวๆ สวยๆ ทั้งนั้น) แลเห็นแม่ผีเสื้อเจ้าเนื้อมาขวาง จึงปลอบอย่างภาษาดอกไม้ให้คลายเหงา (ฮาดังอีก-โฆษณายาสีฟัน.สำนวน ภาษาดอกไม้ กำลังฮิตมาก) เชิญแม่กลับคูหาอย่าตื๊อเรา ปล่อยพ่อเขาแกะเปลือกนางเงือกเอย(ฮาฮิ้วดังมาก-ปรบมือ มีเสียงหัวเราะด้วยความชอบใจ คงนึกภาพแกะเปลือก) ขอข้ามไปบทพระอภัยเนาวรัตน์อีกบท สักวาพระอภัยเห็นได้ช่อง ค่อยค่อยย่องขยับมาหาเงือกสาว นุ่งท็อปเลสลอยน้ำล้ำเลิศพราว (ฮาดัง-ตอนนั้นท็อปเลสเพิ่งเริ่มอื้อฉาว) ช่างไม่หนาวไม่ร้อนไม่อ่อนเพลีย ทั้งยักษาเงือกสาวของคาวสด พระอภัยไม่ลดไม่ละเสีย ถ้าเงือกน้อยน้องยอมเป็นหม่อมเมีย พี่จะซื้อบราเซียให้ใส่เอย(ฮาดังระเบิด ปรบมือยาว) ทำให้ดวงใจ ในบทเงือกสาว วาดสำนวนทันกันว่า สักวาเงือกสาวยุคก้าวหน้า สวมชั้นในซู่ซ่าด้วยวาโก้ (ฮาระเบิดปรบมือดังยาว) พระอภัยไม่ต้องจ้องตาโต ชวนทำข่าวฉาวโฉ่มั่วโลกีย์ (เฮ...) ทุเรศนักพระอภัยรักไม่เลือก ทั้งยักษ์เงือกส่ำสัตว์น่าบัดสี จะโดนมอยี่สิบเอ็ดเด็ดชีวี เสร็จพิธีตัดพ้อก็หยวนเอย (ฮาฮิ้ว..ปรบมือ ตอนนั้น มาตรา 21 เป็นมาตราโทษที่โด่งดังมาก เพราะมีคดีข่มขืนแล้วฆ่าบ่อย รัฐธรรมนูญมาตรานี้ให้อำนาจนายกฯเด็ดขาได้) บทนี้ ครูดวงเนตรขับร้องเพลงสาลิกาแก้ว นี่คือบางบท ที่เป็นเชื้อไฟให้พวกเราตั้งกลุ่ม ชุมนุมน้ำชาวันอาทิตย์และต่อมาเป็นสโมสรสยามวรรณศิลป์รับแสดงสักวาตามโรงเรียน วิทยาลัย มหาวิทยาลัย และองค์กรต่างๆต่อมาจนทุกวันนี้ แม้ว่ากำลังสำคัญทั้งวิจิตร ปิ่นจินดา สนธิกาญจน์ กาญจนาสน์ ทวีสุข ทองถาวร และดวงใจ รวิปรีชา รวมทั้งเศรษฐวัฒน์ ณ หนองคาย ซึ่งต่างจากไปไม่มีวันกลับ ให้เราได้แต่คิดถึงด้วยความรักอย่างยิ่ง
เรื่องโดย : ประยอม ซองทอง
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน กันยายน ปี 2555
คอลัมน์ Online : ชีวิตคือความรื่นรมย์
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/87234