ประหยัดน้ำมัน

ผู้ชายส่วนใหญ่อยากตะบึงรถให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่ว่ารถชนิดไหน รุ่น ยี่ห้อไหน เช่น รถที่เราใช้อยู่ อย่างน้อยสักครั้งหนึ่งในชีวิต เพื่อบันทึกไว้ในความทรงจำ

เอางี้ก็แล้วกัน เมื่อสัก 10 ปีที่แล้วมา ข้าน้อยก็เสี่ยงตาย พารถเก๋งขนาด 2,000 กว่าซีซี พุ่งไปข้างหน้า ด้วยความเร็ว 220 กม./ชม. บนถนนหลวง 1-2 ครั้ง แถวๆ ต่างจังหวัด เร็วพอสมควร ผิดกฎหมายอีกต่างหาก แห่ะ...แห่ะ...ขาดอายุความแล้วละครับ ถึงกล้าบอก   นั่นคือ การเสี่ยงตาย แม้จะมีคนอื่น ”ตีนผี” ยิ่งกว่าผมถมเถไป แต่การขับรถบนถนนหลวงร่วมกับรถอื่นๆ ไปถามนักแข่งรถเถิดครับ ต่างยืนยันว่า อันตรายกว่าการขับรถในสนามแข่งยิ่งนัก เพราะไม่สามารถคาดการณ์ได้เลยว่า สภาพการจราจรเป็นอย่างไร   กรณีของรถหรู รถแรง ที่มีข่าว อัดเต็มที่ถึง 280 กม./ชม. บนทางด่วนกลางดึก คือ ตัวอย่างการท้ามฤตยู ดึกดื่นค่อนคืนก็จริง ใช่ว่าจะไม่มีรถอื่นร่วมทาง ผลจึงปรากฏต่อสาธารณะ กลายเป็นทอลค์ออฟเธอะทาวน์อย่างฮือฮา   ใครก็ตามอยากกระทืบคันเร่งจนมิด เพื่อทดสอบฝีมือ ทดสอบรถ เพื่อความสะใจ เพื่อบันทึกไว้ในความทรงจำสักครั้ง โปรดทราบโปรดสังวรไว้เสมอว่า   “มันไม่ใช่สนามแข่ง ซึ่งมีการเตรียมการด้านความปลอดภัยไว้อย่างดีแล้ว ตายได้ทุกวินาที ที่สำคัญ คือ คนอื่นอาจตายด้วย” เพราะงั้น เอาแค่หอมปากหอมคอพอแก้คัน สัก 120...นะตัวเธอ เชอะ...เด็กๆ"   ทุกวันนี้ผมขับรถตามปกติ และช้ากว่าเก่าอักโข เพราะ "คิดไปเอง" ครับ คิดไปเองว่า น้ำมันแพงขึ้นไปเรื่อยๆ ฮาไม่ออกเลยใช่ไหม คิดไปเองนะเนี้ย...   คดีความอย่างเคยเพื่อให้ครึกครื้น   ให้เข้ากระแสการค้าที่กำลังเจริญเติบโตแบบทวีคูณ นั่นคือ ค้ายาเสพติด หยิบเรื่องนี้มาเสนอก็แล้วกัน   “บริษัท รวยเละเทะ จำกัด” ซึ่งหากินแบบครบวงจร ตามที่เขานิยม ให้ผ่อนรถโดยตรงกับบริษัท กินดอกเบี้ยชนิดที่ชาวบ้านคิดว่าไม่โหด โฆษณาว่าดอกนิดเดียวเอง แต่วิธีการคำนวณรวบหัวรวบหาง ไม่ลดเงินต้น หลงจ้ง คือ โหดสุดๆ ร่ำรวยสะดื้อปลิ้น เถ้าแก่กินดีอยู่ดี จนพุงหลามนั่นเอง บริษัท ฯ ให้ทนายไปยื่นคำร้องที่ศาล ขอคืนรถที่โดนศาลสั่งริบในคดียาเสพติด   อ้างว่า “นายเจริญขึ้น” ผู้เป็นจำเลย กำลังผ่อนส่งกับบริษัท ฯ และอ้างว่าไม่ได้รู้เห็นเป็นใจในการกระทำผิดของจำเลย   อัยการโดดเข้ามาคัดค้านตามหน้าที่ ไม่ให้คืนรถ   ศาลชั้นต้นพิจารณาตามขั้นตอนอย่างที่อดีตนายก ฯ ชวน ท่านชอบยืนยัน แล้วมีคำสั่งคืนรถให้กับ บริษัท รวยเละเทะ จำกัด   ยังดีที่อัยการโจทก์ขวางไว้ ด้วยการยื่นอุทธรณ์คัดค้าน   ศาลอุทธรณ์เพ่งดูเฉพาะสำนวน แล้วพิพากษายืน โดยไม่กลัวเมื่อย ให้คืนรถเช่นเดิม   อัยการขานี้ขยัน ยื่นฎีกาคัดค้านจนถึงที่สุด   ศาลฎีกาเมื่อยเพิ่มขึ้น หยิบสำนวนคดีนี้มาพิจารณาอย่างอ่อนระโหยโรยแรง เพราะประเทศไทยมีคดีอยู่ในศาลสูงมากที่สุดในโลกกระมัง แล้วกัดฟันด้วยความอึด ชี้ขาดออกมาว่า   บริษัท ฯ ยื่นคำร้อง บอกว่าเมื่อเดือนตุลาคม 2549 นายเจริญขึ้น กับพวกนำรถของกลางไปขายยาบ้าให้แก่ผู้ล่อซื้อ ถึงเดือนธันวาคม ศาลคำตัดสินริบรถ อีแบบนี้แสดงว่า บริษัท ฯ รู้มาก่อนวันที่ยื่นคำร้องขอคืนรถ แต่ผู้ร้องเพิกเฉย ไม่ยักบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อและรีบมายื่นขอคืนรถ แต่ยังรับเงินงวดอีก 3 งวด กระทั่งมีการผิดนัด แล้วร้องขอรถคืนในเดือนพฤศจิกายน 2550 เมื่อศาลดูสัญญาเช่าซื้อ ยังระบุไว้ด้วยว่า คนเช่าซื้อต้องชำระค่าเช่าซื้อให้ครบ กรณีทรัพย์สินที่เช่าซื้อสูญหาย ถูกทำลาย ถูกยึด หรือถูกริบโดยความผิดของคนเช่าซื้อ ฯลฯ คนเช่าซื้อต้องรับผิดชอบ ชดใช้ราคาทรัพย์สินที่เช่าซื้อ พร้อมค่าเสียหาย นั่นหมายความว่า บริษัท ฯ เรียกร้องเอาค่ารถจากคนเช่าซื้อได้อยู่แล้วนี่นา   ตามพฤติการณ์แสดงให้เห็นว่า บริษัท ฯ มีเจตนาแค่ได้เงินค่าเช่าซื้อเท่านั้น จึงเพิกเฉยไม่ติดตามเอารถที่ให้เช่าซื้อคืน ทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้วว่า มีการนำรถไปใช้ในทางผิดกฎหมาย ผิดสัญญาเช่าซื้อ การมาขอคืนรถที่ศาลอีตอนนี้ จึงทำเพื่อประโยชน์ของคนเช่าซื้อ เข้าลักษณะรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิด ไม่มีสิทธิ์ร้องขอคืน ศาลล่างตัดสินไว้ ศาลฎีกาไม่เอาด้วยหรอก   ศาลฎีกาสบายตัวขึ้นมาหน่อย ไม่ต้องพิพากษายืนให้เมื่อย พิพากษากลับ ยกคำร้องไม่คืนรถให้แก่บริษัท รวยเละเทะ จำกัด ผู้ร้อง   ไอ้ที่ยุ่งกันทั้งประเทศ ก็เพราะคนเราเดี๋ยวนี้โลภโมโทสันอย่างหนัก ทำแมวอะไรก็ได้เพื่อเงิน แม้จะเกิดความเดือดร้อนความทุกข์ตามมา ก็ไม่รู้สึก อ้อ แต่ดันรู้สึกไปเองว่าของแพง ฮา...   จากคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8405/2552 คดีรถ ตีพิมพ์ใน”ฟอร์มูลา” ส่งไป 15 พค. 2555   ปล. ไม่น้อยหน้า เมื่อวันเสาร์ที่ 12 พค. ศกนี้ ที่สิงคโปร์ หนุ่มใหญ่ชาวจีนอายุ 31 ปี เป็นที่ปรึกษาทางการเงินจากมณฑลเสฉวน เจียนจะได้สิทธิ์พำนักถาวรที่นั่น "ซิ่ง" รถ แฟร์รารี ราคา 1.43 ล้านเหรียญสหรัฐ ฯ ซึ่งซื้อเป็นของขวัญวันเกิดครบ ๓๐ ของตนเอง ไปอัดรถแทกซี โชเฟอร์อายุ 51 ปี ผู้โดยสารหญิงชาวญี่ปุ่นอายุ 42 ปี พลอยตายไปด้วย รวมแล้ว 3 ศพ ผลสะท้อน คือ ชาวเมืองลอดช่อง รวมทั้งชาวเนท ฯ ออกมาโจมตีชาวต่างชาติซึ่งแห่ไปทำงานที่นั่นยกใหญ่..ช่างเป็นไปได้