ร่มไม้ชายศาล
โฆษณาเบิกเนตร !
ขึ้นชื่อว่าการ "โฆษณา" ย่อมหนีไม่พ้นการตีไข่ใส่สี เพื่อให้เกิดความสนใจ เร้าใจ ตื่นตาตื่นใจ ลงท้ายด้วยการจูงใจให้เชื่อ ในสิ่งที่เรียกไม่ผิดว่า โกหก ตอแหล ปลิ้นปล้อน หลอกลวง แหกตา เบิกเนตร สร้างภาพ บิดเบือน หมกเม็ด ฯลฯ แล้วขายสินค้า ขายบริการ ขายโครงการ ดึงลูกค้า ดึงมวลชน นำมาซึ่งผลประโยชน์ต่างๆ และความสำเร็จของผู้โฆษณา
สิ่งที่แปลกคือ กลยุทธ์การโฆษณาดังว่ามาข้างต้น ซึ่งมีทั้งผิดกฎหมาย ผิดศีลธรรม อยู่ในเกณฑ์ที่เรียกได้เต็มปากว่า ทำชั่ว แต่เมื่อถือว่าเป็นการโฆษณา กลับมองว่า นั่นคือ ศาสตร์หรือศิลปะ หรือยุทธศาสตร์ของการทำโฆษณา ยิ่งมั่วได้มากเท่าไร ผู้ทำโฆษณาได้รับการซูฮกยกมือว่า ฝีมือขั้นเทพไปซะ...
การโฆษณาขายอาหาร เสริมสุขภาพ เสริมความหล่อความงาม ทุกวันนี้ยืนอยู่บนหลักการโฆษณาดังกล่าวทั้งสิ้น แค่เอาคนหุ่นดีหน้าตาดีมาเต้นประกอบฉาก แค่นี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับการสื่อความหมายว่า จ่ายเงินซื้อสินค้ามาบริโภคแล้ว ต้องสวยต้องแหล่มแน่นอน โดยผู้โฆษณาไม่ต้องบรรยายสรรพคุณตรงๆ ให้เสี่ยงคุกเสี่ยงตะราง เพราะมันไม่จริง
วิธีการโฆษณายืนยันมั่นเหมาะว่า รถยี่ห้อนี้แบบนี้ประหยัดน้ำมันสุดๆ 20-30 กม./ลิตร ทั้งๆ ที่ตอนทดสอบ แทบจะไม่ยอมให้โดนลมต้าน พยายามหาลมหนุน ลงทางลาดแทบจะดับเครื่องวิ่งถ้าทำได้ คลานจนเต่าเรียกพี่ มันก็ทำกัน ถึงเวลาทางการลงโทษปรับแค่รายละ 5 หมื่นบาท ที่สำคัญพี่น้องผองไทยก็ยังเชื่อเป็นตุเป็นตะ ยอมเป็นสาวกซื้อรถนั้นๆ มาใช้ แล้วแอบกัดฟันกรอดๆ เวลาใช้รถจริง ควักเงินจ่ายค่าน้ำมันจริงๆ ไม่กล้าปริปากบ่นให้คนอื่นได้ยิน กลัวเสียฟอร์ม ไม่ยักมีใครร้องสำนักงานคุ้มครองผู้บริโภค หรือฟ้องร้องต่อศาล นี่คือประเทศไทย สวรรค์ของพ่อค้าไม่ซื่อ
ราคาน้ำมัน ราคาแกสในตอนนี้ก็เช่นกัน พี่น้องคงรู้แล้วว่า ราคาถูกลงมากๆ ตามที่ฝ่ายการเมืองเขาโฆษณาว่า ทำเพื่อช่วยเหลือรากหญ้าชาวประชา ทำทันที มันจริงไหม สวรรค์มีจริงหรือไม่...
มาดูคดีที่เกิดจากการ โฆษณาแหกตา สักเรื่อง จะได้รู้ว่า พึ่งศาลยุติธรรม ซึ่งหมู่นี้โดนกล่าวหาว่า สองมาตรฐาน ตลอดเวลา เพราะศาลไทยไม่สามารถตัดสินให้ออก เสมอ เหมือนอย่างแข่งกีฬา จึงผิดใจฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเข้าจนได้ แถมโดนด่าแหลก ศาลก็ไม่กล้าใช้กฎหมายเรื่องละเมิดอำนาจ กรรมเวรของศาลไทยแท้ๆ
นายขั้นเทพ เห็นเอกสารโฆษณาขายอาคารชุดของ บริษัท เหยียบยอดเมฆคอนโด จำกัด โครงการ 1 และ 2 แล้วน้ำลายไหลยืด เพราะมีแผ่นพับภาพสีแสดงชัดว่า บริษัทจะสร้างศูนย์การค้าใหญ่ติดกับคอนโดไว้ด้วย เท่านั้นไม่พอ บนอาคารที่จอดรถจะสร้างสระว่ายน้ำลอยฟ้าขนาดใหญ่ไว้บริการแบบสุดๆ จึงตัดสินใจซื้อ 1 ห้อง ชั้นที่ 35 เนื้อที่ราวๆ 70 ตารางวา ราคาขณะนั้นเกือบ 4 ล้านบาท จ่ายเงินดาวน์เงินงวดไปแล้ว 8 แสนกว่าบาท กลางปี 2544 บริษัทมีหนังสือแจ้งให้ "นายขั้นเทพ" ไปรับโอนห้องชุด และจ่ายเงินส่วนที่เหลือ ขัดขืนโดนริบเงิน
"นายขั้นเทพ" ซึ่งกะจะอยู่ระดับไล่เลี่ยกับเมฆบนชั้นที่ 35 นั้นหาวเรอมานานแล้ว ตั้งแต่ตกลงซื้อจนถึงขณะนี้ปาเข้าไป 8 ปี ยังอยู่ห้องแถวติดดินที่เก่า คอนโดไม่เสร็จสักที ที่สำคัญคือ ศูนย์การค้าติดคอนโดก็ไม่เสร็จ สระว่ายน้ำลอยฟ้าบนอาคารที่จอดรถบริษัทก็ตัดออก ไม่สร้าง จึงยกมาเป็นเงื่อนไข ร้องไปที่คณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค และให้ทนายทำหนังสือบอกเลิกสัญญาเมื่อเดือนสิงหาคม 2545 ให้บริษัทคืนเงินภายใน 7 วัน (การทำหนังสือระบุให้คืนเงินภายใน 7 วันนี่แหละ ทำให้ "นายขั้นเทพ" สูญเสียสิทธิค่าดอกเบี้ยไปบานตะไท เสียเพราะอะไรเดี๋ยวรู้ครับพี่น้อง)
ตกลงกันโดยดีไม่ได้ ศาลจึงมีงานทำ "นายขั้นเทพ" ยื่นฟ้องบริษัท ยกเลิกสัญญาซื้อคอนโด บังคับให้คืนเงินพร้อมดอกเบี้ย ซึ่งทนายของ "นายขั้นเทพ" ช่างใจดี เรียกดอกเบี้ยตั้งแต่วันจากวันฟ้องเข้าไปอีก
แหงอยู่แล้ว บริษัทพรรค์เหล่านี้ล้วนสู้คดี ยันว่า "นายขั้นเทพ" ผิดสัญญาต่างหาก อ้างด้วยว่าในสัญญาซื้อขายคอนโดไม่ได้มีข้อไหนระบุว่า บริษัทต้องสร้างศูนย์การค้า สร้างสระว่ายน้ำบนตึกจอดรถ "นายขั้นเทพ" จึงจะซื้อ แค่ความปรารถนาดีของบริษัท เพื่อเป็นส่วนประกอบให้ลูกค้าได้รับความสะดวกสบายเท่านั้น ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว ตัดสินให้ "นายขั้นเทพ" ชนะคดี บังคับให้ "บริษัท เหยียบยอดเมฆคอนโด จำกัด" คืนเงิน 8 แสนกว่าบาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5/ปี ตั้งแต่วันจากวันฟ้องคือ 9 กันยายน 2545 เป็นต้นไป จนกว่าจะจ่ายเสร็จบริษัทยื่นอุทธรณ์ตามฟอร์ม
ศาลอุทธรณ์ออกเหงื่อตามสมควร พิจารณาแล้วพิพากษายืน ไม่ฟังข้ออ้างต่างๆ ของบริษัท
จำเลยคือ บริษัทเจ้าของโครงการคอนโดยื่นฎีกา เล่มเกมยาวเข้าไว้
ศาลฎีกาเล็งดูคดีนี้ด้วยความเมื่อยล้า เพราะวันๆ คลำแต่คดีที่รอคิวยิ่งกว่าแฟนเพลงเกาหลีแห่ดูคอนเสิร์ทเกาหลี พิจารณาแล้วชี้ขาดออกมา
แม้ข้อความในสัญญาจะซื้อจะขายห้องชุด ไม่ได้ระบุข้อความว่า บริษัทต้องก่อสร้างสระว่ายน้ำขนาดใหญ่ บนลานจอดรถของอาคารชุด และก่อสร้างศูนย์สรรพสินค้าใหญ่ติดกับอาคารชุด หรือลงมือสร้างศูนย์สรรพสินค้าก็จริง แต่สร้างไม่เสร็จสักที ทั้งๆ ที่ไม่มีเหตุสุดวิสัยหรือข้อขัดข้องที่จะอ้างได้ บริษัทต้องผูกพันและมีหน้าที่สร้างสระว่ายน้ำและห้างสรรพสินค้าดังว่าจนเสร็จ ตามที่ประกาศโฆษณาไว้กับ "นายขั้นเทพ" เพราะแผ่นโฆษณาแสดงภาพจำลองอาคารชุด อาคารศูนย์สรรพสินค้า สระว่ายน้ำ เพื่อจูงใจส่งเสริมการขาย ถือได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาจะซื้อจะขายห้องชุดด้วย ดิ้นไม่หลุด
เรื่องดอกเบี้ย ศาลฎีกาแจงให้ "นายขั้นเทพ" เจ็บใจว่า ตามกฎหมายบริษัทรับเงินวันไหน ถ้าจะคืนต้องมีดอกเบี้ยตั้งแต่วันนั้น ตามกฎหมายแพ่ง มาตรา 391 ซึ่งหมายถึง "นายขั้นเทพ" มีสิทธิได้รับดอกเบี้ย ตั้งแต่ตอนจ่ายเงิน ราวๆ ปี 2536-2537 คิดเรื่อยไปจนถึงวันจ่ายเสร็จ เมื่อทนายของ "นายขั้นเทพ" ทำหนังสือบอกเลิกสัญญา ในปี 2544 แล้วมัดคอตัวเอง แจ้งให้บริษัทคืนเงินภายใน 7 วัน นั่นเปลาะหนึ่ง เปลาะที่สอง เขียนในคำฟ้อง ขอให้บริษัทจ่ายดอกเบี้ยตั้งแต่วันฟ้องเข้าไปอีก
ศาลฎีกาจึงพิพากษายืน บังคับให้ "บริษัท เหยียบยอดเมฆคอนโด จำกัด" คืนเงินดาวน์และเงินงวดเกือบ 8 แสนกว่าบาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5/ปี นับจากวันฟ้อง คือวันที่ 9 กันยายน 2545 จนกว่าจะจ่ายเสร็จ
ครับ...มันน่าติดใจเรื่องดอกเบี้ยอยู่หรือ ถ้าทนายของ "นายขั้นเทพ" เป็นมวย โจทก์คือ "นายขั้นเทพ" ต้องได้ดอกเบี้ย คิดคร่าวๆ 8 ปี ก่อนจะถึงวันฟ้องในปี 2545 และนับต่อไปอีกจากปี 2545 เพราะศาลฎีกาเพิ่งตัดสินคดีนี้ออกมาในปี 2553 นี่เอง เรียกว่าถ้าบริษัทกำเงินมาจ่ายหลังจากศาลฎีกาตัดสินเสร็จปุ๊บ บริษัทโดนดอกเบี้ยเข้าไปไม่น้อยกว่า 8 ปี ขณะที่บริษัทโชคดีได้ส่วนลดไปแล้ว 8 ปี เพราะความพลั้งเผลอของทนายนั่นแล
งานนี้ "นายขั้นเทพ" อึ้งกิมกี่ชีช้ำกะหล่ำปลี ก็แล้วกัน เมื่อรู้ปัญหาเรื่องดอกเบี้ยจากคำตัดสินของศาลฎีกา
อ้อ เจ้าของโครงการทั้งหลาย ถ้าเมามันกับการโฆษณาขายโครงการ อย่างเช่นจำเลยในคดีนี้ แล้วเด้งเชือกฉากหลบ ไม่ทำตามที่โฆษณาไว้ ระวังจะเจ็บตัว ส่วนลูกค้าต้องเก็บแผ่นพับโฆษณาไว้ประดุจของมีค่านั่นเทียว จึงจะแหล่ม
จากคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5352/2553
เรื่องโดย : จอมยุทธ
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน มีนาคม ปี 2555
คอลัมน์ Online : ร่มไม้ชายศาล
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/85523