ใครยัง เอาอยู่ ก็ยินดีด้วย แต่ผมนั้นเอาไม่ไหว กลายเป็น ผู้ประสบภัย ไปเรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่ปลายเดือนตุลาคมความจริงก็รู้ตัวล่วงหน้านานพอสมควร ว่ามันมาแน่ และได้เตรียมการรับมือไว้มิใช่น้อย แม้ไม่ถึงกับทำพิธี ไล่น้ำ แต่ตอนนั้นคาดว่าจะ เอาอยู่ กับเขาเหมือนกัน ผมอยู่ในเขตปทุมธานี ซึ่งสุดท้ายก็จมน้ำไปทั้งจังหวัด และจนป่านนี้ยังไม่ได้กลับบ้านเลยครับ วิกฤตการณ์น้ำท่วมร้ายแรงครั้งนี้ คำนวณกันว่าความสูญเสียเฉพาะที่ประเมินค่าได้ไม่ต่ำกว่า 3 แสนล้านบาท ฉะนั้น รัฐบาลซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรง จะโยนบาปให้ธรรมชาติอ้างเหตุแค่เพราะ น้ำมากจริงๆ ไม่ได้หรอกครับ ประชาชนเห็นอยู่ว่าน้ำมากผิดปกติ แต่ที่เขาข้องใจคือ ทำไมมันถึงมากผิดปกติได้ขนาดนี้ ไม่เฉพาะคนไทยเท่านั้นที่สงสัย ฝรั่งเองก็อยากรู้ ในนิตยสาร WALL STREET JOURNAL เขาตั้งคำถามเลยว่า เหตุใดผู้รับผิดชอบเขื่อน จึงไม่ระบายน้ำออกมาทีละน้อย ตั้งแต่เดือนกรกฎาคมเหมือนเช่นทุกปี แต่กลับเก็บกักสะสมไว้จนเต็มความจุทั้ง 4 เขื่อนใหญ่ จนต้องตัดสินใจปล่อยมวลน้ำจำนวนมหาศาลออกมาพร้อมกัน หนำซ้ำไม่มีการเตือนล่วงหน้า กลายเป็น สึนามิบก ท่วมทำลายตั้งแต่นครสวรรค์ ยันกรุงเทพมหานคร ผมได้ข่าวว่า ผู้อยู่เบื้องหลังปรากฏการณ์ สึนามิบก ครั้งนี้ คือ รัฐมนตรีหน้าใหม่รายหนึ่ง ที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลเรื่องเขื่อน และต้องการโชว์ให้ข้าราชการเห็นว่า เป็นผู้มีวิสัยทัศน์กว้างไกล โดยสั่งห้ามพร่องน้ำเหนือเขื่อน เพื่อเก็บน้ำไว้ใช้ยามขาดแคลน เอาเข้าจริง น้ำไม่ขาดแคลน แถมอุดมสมบูรณ์จนต้องปล่อยให้มันไหลบ่าลงมานับหมื่นล้านลูกบาศก์เมตร ผลงานของรัฐมนตรีปลอดประสบการณ์ บวกกับฝีมือบริหารจัดการน้ำของท่านนายกบแรนด์เนม และคณะ ผลลัพธ์คือ โศกนาฏกรรม อีกครั้งของคนไทย ผมแน่ใจว่า น้ำท่วมครั้งนี้เกิดจากฝีมือคน และคนๆ นั้น ต้องรับผิดชอบต่อความสูญเสียทั้งชีวิต และทรัพย์สิน รวมถึงสภาพจิตใจของคนไทย ที่ตกอยู่ในอาการหดหู่ไปทั้งประเทศ นอกจากควานหาคนรับผิดชอบมาลงโทษแล้ว เรายังต้องสรุปบทเรียนให้แจ่มชัด เช่น เรื่องการต่อสู้กับน้ำนั้น การพยายามปิดกั้นไม่ใช่วิธีที่เอาชนะมันได้ แต่ต้องบริหารจัดการโดยสร้าง ทางด่วนน้ำ หรือ FLOOD WAY จากเขื่อนสู่ทะเลให้มากที่สุด แทนที่จะอาศัยแม่น้ำแค่ 2 สาย อย่างในปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ผมหวังมากที่สุดคือ น้ำท่วมครั้งนี้จะช่วยให้คนไทยส่วนใหญ่ ตาสว่าง เสียที เพราะถ้าไม่ ก็เตรียมตุนยาแก้น้ำกัดเท้าไว้ได้เลย