เทคนิค(car)
การติดตั้งเครื่องเสียงรถยนต์
ในบทความนี้ฉบับนี้ จะเป็นเรื่องราวการเรียนรู้ และทำความเข้าใจเกี่ยวกับอุปกรณ์เครื่องเสียงติดรถยนต์ว่ามีขั้นตอน และวิธีการ จะต้องทำอย่างไรบ้าง เพื่อการตัดสินใจเลือกสรรสินค้า ในระดับพื้นฐาน หรือวิธีการติดตั้งที่กำหนดขึ้นเอง การติดตั้งขั้นพื้นฐาน ประเภทที่คุณสามารถจะทำได้เสร็จภายใน 1 วัน ตัวอย่าง เช่น ลักษณะตำแหน่งการติดตั้งลำโพงที่อยู่ด้านหลังแผงประตูรถเดิมจากโรงงาน หรือการติดตั้งแหล่งสัญญาณ (SOURCE UNIT) ในแผงหน้าปัด หรือวิธีการสร้างตู้ลำโพงซับวูเฟอร์ การติดตั้งประเภทนี้ เป็นการให้ความรู้ ระดับทักษะในการเรียนที่น้อยที่สุด ถ้าคุณทำงานในร้านติดตั้งเครื่องเสียงรถยนต์ ด้วยพื้นฐานการติดตั้งเหล่านี้ จะสามารถเพิ่มความมั่นใจ และพัฒนาทักษะฝีมือในการติดตั้งได้อย่างรวดเร็ว เพื่อพัฒนาผลงานของคุณขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง
การต่อสาย
สำหรับวิทยุติดรถยนต์ทั่วไป การต่อสายไฟโดยปกติแล้ว อยู่ที่ด้านหลังวิทยุ จะมีสายไฟต่างๆ มากมาย เริ่มต้นด้วยสาย POWER +12 โวลท์ ซึ่งเป็นเส้นสีเหลือง สำหรับต่อเข้ากับแบทเตอรี (ขั้วบวก) เพื่อเป็นสายไฟเลี้ยงวงจรภายในวิทยุ (MEMORY BACKUP) ที่ตั้งบันทึกความจำไว้ในตัววิทยุ และสายไฟ +12 โวลท์ เส้นสีแดงต่อเข้ากับสวิทช์กุญแจรถยนต์ (IGNITION WIRE) ส่วนสาย GROUND เส้นสีดำต่อเข้ากับตัวถังรถยนต์ ส่วนสายไฟที่ระบุว่า POWER ANTENNA เป็นสายไฟต่อเพื่อควบคุมเสาอากาศรถยนต์ และสาย REMOTE TURN ON เส้นสีน้ำเงิน เป็นสายไฟต่อเพื่อควบคุมเพาเวอร์แอมพ์ หรืออุปกรณ์เครื่องเสียงอื่นๆ อาทิเช่น อุปกรณ์ซิกแนล พโรเซสเซอร์ เพื่อให้เปิด/ปิดการทำงาน สำหรับสาย ILLUMINATION WIRE เป็นสายที่ต่อไปยังสายไฟที่จอดรถยนต์ ซึ่งภายในวิทยุรถยนต์จะมีวงจรเพื่อหรี่ไฟส่องหน้าปัด (DIMMER) การเชื่อมต่อสายไฟนี้ จะต้องทำกับสายไฟที่จอดรถที่มีแรงดันไฟฟ้า ซึ่งไม่แตกต่างกับวงจรเพื่อหรี่ไฟของรถ ซึ่งอาจทำให้วงจรไฟส่องด้านหน้าวิทยุทำงานไม่ถูกต้อง ส่วนขั้วต่อ RCA OUTPUT เป็นขั้วต่อสำหรับส่งสัญญาณเสียงระดับต่ำไปยังเพาเวอร์แอมพ์ และอุปกรณ์ซิกแนล พโรเซสเซอร์ ฯลฯ ส่วนสาย SPEAKER OUTPUT สำหรับต่อสัญญาณเสียงให้กับลำโพงรถยนต์ นอกจากนี้ยังมีสายที่เรียกว่า DIN CABLE ที่ผู้ผลิตได้ออกแบบเฉพาะสำหรับส่งผ่านกำลังไฟ และแหล่งสัญญาณไปยังอุปกรณ์เสริมอื่นๆ อย่างเช่น ซิกแนล พโรเซสเซอร์ เครื่องแปลงไฟ IPOD หรือ USB เป็นต้น
การเชื่อมต่อลำโพง
ลำโพงรถยนต์ทั่วไป จะมีค่าความต้านทานปกติ (IMPEDANCE) ระบุไว้ที่ 4 โอห์ม และสามารถต่อโดยตรงเข้ากับวิทยุหรือเพาเวอร์แอมพ์ มาตรฐานอุตสาหกรรมสำหรับสีของสายลำโพง มีดังนี้ สีขาว = ลำโพงหน้าซ้าย+ สีขาว/ดำ = ลำโพงหน้าซ้าย-สีเทา = ลำโพงหน้าขวา+ สีเทา/ดำ = ลำโพงหน้าขวา-สีเขียว = ลำโพงหลังซ้าย+ สีเขียว/ดำ = ลำโพงหลังซ้าย-สีม่วง = ลำโพงหลังขวา+สีม่วง/ดำ = ลำโพงหลังขวา- การต่อซับวูเฟอร์ ลำโพงซับวูเฟอร์ซึ่งต้องการพลังงานไฟฟ้ามากกว่าวิทยุ เพื่อให้เพาเวอร์แอมพ์ทำงานได้อย่างถูกต้อง เมื่อต่อซับวูเฟอร์มากกว่า 1 ตัว จำเป็นต้องต่อให้ถูกขั้ว ตัวอย่าง เช่น เอาท์พุท+ ของเพาเวอร์แอมพ์ต่อกับขั้ว+ ของซับวูเฟอร์ เพื่อให้ซับวูเฟอร์ทำงานได้ถูกต้อง สำหรับเอาท์พุทสูงสุด
การต่อสายขนาน
เมื่อต่อสายลำโพงแบบขนาน ขั้วบวกของลำโพงทุกตัว จะต่อกับขั้วบวกของเพาเวอร์แอมพ์ และทุกขั้วลบของลำโพงทุกตัว จะต่อกับขั้วลบของเพาเวอร์แอมพ์ สำหรับสูตรสายลำโพงแบบขนาน คือ ความต้านทานรวม (TOTAL IMPEDANCE) หรือ PARALLEL RT = 1/(1/R1+1/R2+1/R3) ตัวอย่างจะเป็นดังนี้ ถ้าลำโพงซับวูเฟอร์มี 4 โอห์ม (3 ตัว) สูตรก็จะเป็น 1/(1/4+1/4+1/4) = 1/(3/4) = 4/3 = 1.33 โอห์ม การต่อสายอนุกรม เมื่อต่อสายอนุกรม การต่อลำโพงจะเป็นในลักษณะลูกโซ่ระหว่างกัน ถ้ามีลำโพง 3 ตัว ขั้วบวกของลำโพงตัวแรก จะต่อกับขั้วบวกของเพาเวอร์แอมพ์ และขั้วลบลำโพงตัวแรก จะต่อกับขั้วบวกลำโพงตัวที่ 2 ขั้วลบลำโพงตัวที่ 2 ต่อกับขั้วบวกลำโพงตัวที่ 3 และขั้วลบลำโพงตัวที่ 3 ต่อกับขั้วลบเพาเวอร์แอมพ์ การคำนวณโหลดรวมของลำโพงอนุกรมทำได้ง่าย เพียงแค่บวกความต้านทานของแต่ละลำโพงเข้าไป เช่น สูตร SERIES RT = R1+R2+R3 ถ้าลำโพง 3 ตัว ดังตัวอย่าง มี 4 โอห์ม ความต้านทานรวมจะเป็น 12 โอห์ม หรือ 4+4+4 = 12 โอห์ม แต่ในทางปฏิบัติจะไม่ค่อยกระทำกัน ซึ่งไม่ควรนำไปใช้ต่อกับซับวูเฟอร์แบบวอยศ์คอยล์คู่ (DUAL VOICE COIL) ซึ่งสามารถต่อสายแบบอนุกรม และขนานได้โดยไม่มีผลเสีย เนื่องจากเพาเวอร์แอมพ์จะมีการจัดอันดับการต่อใช้งานได้ที่โหลดต่ำสุดเท่าไร ซึ่งเป็นไปตามข้อกำหนดของผู้ผลิตที่ออกแบบให้เพาเวอร์แอมพ์ สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การต่อสายไฟ และการป้องกัน
ในขณะที่เพิ่มสายเชื่อมต่อไปที่แบทเตอรี (โดยไม่คำนึงถึงตำแหน่งภายในรถ) จะต้องป้องกันด้วยฟิวส์ หรือตัวตัดไฟฟ้า (BREAKER) โดยคำนึงถึงความยาวของสายไฟ ถ้าสายไฟมีความยาวกว่า 18 นิ้ว จะต้องติดฟิวส์หรือตัวตัดไฟฟ้าที่จุดนั้น และฟิวส์กับตัวตัดไฟฟ้าจะเป็นตัวป้องกันสายไฟ ในกรณีที่เกิดไฟฟ้าลัดวงจรที่สายเชื่อมต่อกับขั้วบวกแบทเตอรีที่ต่อกับสายกราวน์ดตัวถังรถ ทำให้ความจุของกระแสไฟที่เกิน เกิดความร้อนขึ้นอย่างรวดเร็ว และเกิดการเผาไหม้ ถ้าหากฟิวส์ หรือวงจรตัดไฟมีขนาดที่เหมาะสม จะป้องกันสายไฟจากอันตราย ซึ่งทำให้ไฟไหม้รถ เกิดกับรถจำนวนมาก มักเกิดจากการขาดการป้องกันให้กับสายไฟอย่างเหมาะสม
การเลือกขนาดสายไฟ
ขนาดสายไฟเพาเวอร์แอมพ์ที่ควรจะใช้ในระบบเสียง สามารถคำนวณได้จากกำลังวัตต์ของระบบทั้งหมด และความยาวของสายไฟที่จำเป็นในการต่อแบทเตอรีเข้ากับเพาเวอร์แอมพ์ คือ การใช้ขนาดสายไฟอย่างเหมาะสม (มีหน่วยวัด คือ GAUGE) ซึ่งอ้างถึง AMERICAN WIRE GAUGE ที่มีแรงดันไฟฟ้าน้อยกว่า 0.5 โวลท์ เมื่อเพาเวอร์แอมพ์ขณะเล่นที่กำลังขับสูงสุด ซึ่งความต้านทานจะเพิ่มขึ้นพร้อมกับความยาวสายไฟ รถที่มีขนาดใหญ่ จะมีระยะทางระหว่างแบทเตอรี และเพาเวอร์แอมพ์ ต้องการสายไฟขนาดใหญ่ และในทางกลับกัน รถขนาดเล็กที่มีแบทเตอรีอยู่ด้านท้ายรถ (ใกล้กับเพาเวอร์แอมพ์) สามารถใช้สายขนาดเล็ก และเพาเวอร์แอมพ์ที่มีประสิทธิภาพสูง (CLASS D และ G) จะสูญเสียกระแสไฟน้อยกว่าเพาเวอร์แอมพ์ CLASS A/B ซึ่งสามารถใช้สายไฟขนาดเล็ก
เรื่องโดย : กองบรรณาธิการ
นิตยสาร 409 ฉบับเดือน มิถุนายน ปี 2554
คอลัมน์ Online : เทคนิค(car)
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/83218