รู้ลึกเรื่องรถ
มีอะไรในเครื่อง เอฟ วัน
ต้องถือว่าเป็นโชคดีของชาวกรุงเทพ ฯ หรือชาวจังหวัดอื่นที่อยู่ใน กทม. พอดี ในช่วงที่มีการนำรถแข่งสูตร 1 หรือเรียกชื่อย่อในภาษาอังกฤษว่า เอฟ วัน มาขับให้ชมและฟังเสียงเครื่องยนต์จากตัวจริงกันเลย ที่ผมใช้คำว่าโชคดี ไม่ได้หมายความว่าประเทศเพื่อนบ้านเขาไม่มีโอกาสนี้กันนะครับ ชาวมาเลเซียเขามีโอกาสมานานแล้ว ตามมาด้วยชาวสิงคโปร์ พูดง่ายๆ ก็คือ ประชาชนของประเทศที่โชคดี มีหรือเคยมีผู้นำที่มีวิสัยทัศน์กว้างและไกลนั่นเองครับ พวกเราไม่โชคดีระดับนั้น ก็ต้องปลอบใจตนเองว่า แค่ได้เห็นได้ฟังของจริงโดยไม่ต้องเสียเงิน ก็เป็นบุญหูบุญตาแล้ว อย่าไปหวังอะไรมาก
ขอสารภาพว่า ผมเองก็เคยมีความหวังว่า จะได้เห็นการแข่งรถสูตร 1 ในประเทศของเราเหมือนกัน ในสมัยนายก ฯ กรอบใบหน้าทรงแปลก ที่ทำท่าว่าจะนำพาประเทศไปอยู่แถวหน้าของกลุ่มประเทศย่านนี้ ถ้ามีความตั้งใจจริงและทำจริง โครงการอย่างนี้ต้องร่วมอยู่ด้วยอย่างแน่นอน มาเลเซียได้แสดงให้เห็นแล้ว แต่ไม่นานนัก ความหวังของผมก็ดับสิ้น เมื่อธาตุแท้โผล่ให้เห็น จากคำสัญญาว่าจะแก้ปัญหาจราจรในกทม. ให้ได้ผลใน 6 เดือน ตามด้วยจะกำจัดระบบ "เรียนพิเศษ" ที่ทำให้ผู้ปกครองของนักเรียนส่วนใหญ่เดือดร้อน ที่แท้ล้วนเป็นเพียงลมปากของมนุษย์ลวงโลกคนหนึ่งเท่านั้น เมื่อใช้วิธีทุจริตให้ลูกได้เข้าศึกษาในที่ที่ต้องการสำเร็จ ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
กลับมาเข้าเรื่องที่สบายใจกันดีกว่าครับ ผมเชื่อว่าคงไม่มีใครทราบแน่ ว่าเหตุใดจึงมีผู้มาชมการขับรถนี้ในช่วงเวลาสั้นๆ กันอย่างล้นหลาม เพราะไม่มีการสำรวจความเห็นของผู้เข้าชมไว้ ก็คงต้องเดากันไปตามใจชอบ ซึ่งก็มีสาเหตุที่เป็นไปได้มากพอสมควร เช่น การประชาสัมพันธ์ล่วงหน้าอย่างกว้างขวาง การทราบข่าวหรือได้เห็นการเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของนักขับ การขาดแคลนงานอดิเรก หรือกิจกรรมในวันหยุดของชาวไทย หรืออาจจะเป็นความต้องการได้เห็นรถแข่งเทคโนโลยีระดับโลกจริงๆ ก็ได้ครับ หรือไม่ก็คงหลายเหตุผลปนกันอยู่
รถแข่งเอฟ วัน เป็นรถที่สร้างด้วยเทคโนโลยีที่ซับซ้อนมาก ในระดับที่คนนอกวงการไม่สามารถจินตนาการได้เลย ผมว่าถ้ากล่าวอย่างหยาบๆ ก็ไม่ต่างจากการสร้างจรวดไปสู่อวกาศได้นั่นแหละครับ รถแต่ละคันสร้างจากชิ้นส่วนที่ผลิตโดยบริษัทต่างๆ เป็นพันบริษัท ใช้วิศวกรและผู้ร่วมงานที่มีส่วนร่วมหลายพันคน งบประมาณนับแสนล้านบาท จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่โรงงานระดับยักษ์ ฐานะระดับ "เศรษฐีใหญ่" ก็ยังถอดใจยอมแพ้กันมามากมายแล้ว เพราะถ้าไม่ประสบความสำเร็จ คือ แข่งเท่าไรไม่เคยชนะที่ 1 มันก็จะสูบเงินจนกระเป๋าแฟบได้ง่ายๆ เพราะสปอนเซอร์จะถอนตัวกันหมด
ถ้าใช้คอลัมน์นี้เขียนเรื่องเทคนิคของรถเอฟ วัน ให้ครอบคลุมทั้งคัน ก็น่าจะใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 2 ปีครับ ผมเลยขอเขียนถึงเฉพาะเรื่องที่คนส่วนใหญ่สนใจที่สุด ซึ่งก็คือเครื่องยนต์ เอาแบบไม่เป็นทางการนะครับ ไม่เรียงลำดับความสำคัญ และไม่ต้องครบถ้วนทุกส่วนด้วย
จากสามัญสำนึกของพวกเรา ถ้าอยากให้รถแข่งของเราชนะ ก็ต้องทำให้เครื่องยนต์มีกำลังมากที่สุดไว้ก่อน ส่วนอื่นๆ เรามักจะไม่นึกถึงมัน ถ้าไปถามหัวหน้าวิศวกรของทีมเอฟ วัน ยุคนี้ ว่าส่วนไหนของรถสำคัญที่สุดต่อความสำเร็จ ซึ่งก็คือการชนะการแข่งขัน เราจะได้คำตอบว่า ตัวรถครับ ถ้าเทียบเป็น 100 ส่วน หรือ 100 % ตัวรถมีส่วนราวๆ 50 % ครับ ในที่นี้หมายถึงคุณภาพของช่วงล่าง พลศาสตร์ทางอากาศของตัวรถ ตำแหน่งจุดศูนย์ถ่วง เราจึงมักได้ข่าวทีมต่างๆ แย่งประมูลตัววิศวกรตัวถังมากกว่าวิศวกรเครื่องยนต์ครับ โดยเฉพาะนักพลศาสตร์อากาศ รองลงมาคือยางครับ มีผลราวๆ 30 ถึง 35 % เพราะรถจะเร่งดี ระยะเบรคสั้น รับแรงหนีจุดศูนย์กลาง หรือแรงเหวี่ยงได้ดี ล้วนขึ้นอยู่กับหน้ายางที่แนบกับผิวของสนามแข่งทั้งนั้น ที่เหลืออีก 15 ถึง 20 % ถึงจะเป็นบทบาทของเครื่องยนต์
ต้องไม่หลงประเด็นนะครับ ว่าถึงจะเป็นตัวเลขน้อย แต่ก็มีความหมายมากมายได้เหมือนกัน เพราะถ้ามีเครื่องห่วย แต่ตัวรถและยางเท่าเทียมกับทีมอื่น นักขับก็ฝีมือใกล้เคียงกัน โอกาสชนะย่อมเหลือศูนย์ครับ ทุกทีมจึงต้องพัฒนาเครื่องยนต์กันอย่างเต็มที่
เครื่องยนต์ เอฟ วัน เป็นเครื่องยนต์เบนซิน 4 จังหวะ ใช้เบนซินระดับเดียวกับที่พวกเราเติมกันตามปั๊มน้ำมันนี่แหละครับ เพราะมีกฎบังคับไว้ แต่ไม่ได้ไปซื้อมาจากปั๊มเหมือนพวกเรานะครับ แต่ละทีมจะมีผู้สนับสนุน คือ บรรดายักษ์ใหญ่ที่ขายน้ำมันเชื้อเพลิง ผสมสูตรลับให้ แต่ยังเข้าข่ายน้ำมันตามปั๊มตามที่กฎกำหนดไว้ ความจุของเครื่องยนต์สูตร 1 เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยตามความเห็นชอบของคณะกรรมการที่กำกับดูแล ถ้าย้อนเวลาไปไม่นานนัก ก็อยู่ที่ 1.5 ลิตร 3 ลิตร เพิ่มเป็น 3.5 ลิตร แล้วกลับมา 3 ลิตร ปัจจุบันอยู่ที่ 2.4 ลิตร เพราะวิทยาการด้านนี้ก้าวหน้า จนกำลังของเครื่องยนต์เพิ่มขึ้นมาถึงระดับที่อันตรายต่อนักขับเกินไป จึงถูกลดลงเหลือไม่เกิน 2,400 ซีซี เป็นเครื่อง 8 สูบแบบ วี เหมือนกันหมด ส่วนที่ต่างจากเครื่องยนต์ในรถของพวกเราอย่างมาก คือ สัดส่วน ระหว่าง เส้นผ่านศูนย์กลางกระบอกสูบ กับระยะชักของลูกสูบครับ ในรถทั่วไปจะมีค่าใกล้เคียงกัน ยกเว้น เครื่องบอกเซอร์ แต่กระบอกสูบของเครื่องยนต์สูตร 1 กว้างกว่าระยะชักเกิน 2 เท่าครับ เพราะต้องการให้มีพื้นที่สำหรับหัววาล์วขนาดใหญ่กับต้องการลดแรงที่เกิดขึ้นต่อ ข้อเหวี่ยงก้านสูบ สลักลูกสูบ และตัวลูกสูบด้วยกำลังที่ได้ประมาณ 750 ถึง 800 แรงม้าครับ ค่านี้ไม่ค่อยมีการเปิดเผยอย่างเป็นทางการ แต่ก็พอประมาณและสืบหาเอาได้ครับ เพราะวงการเอฟ วันก็มีการจารกรรมกันในระดับสูงเหมือนกัน ค่าที่ลับสุดยอดอย่างหนึ่ง ก็คือ ค่าอัตราส่วนระหว่าง กระบอกสูบ กับระยะชักนี่แหละครับ เพราะมันมีผลต่อกำลังสูงสุดการให้แรงบิด และความทนทาน โดยทั่วไปก็มีค่าประมาณ 2 กว่านิดๆ ต่อ 1 ครับ หมายถึง กระบอกสูบกว้างเป็น 2 เท่ากว่าๆ ของระยะชัก ความกว้างของแบริง ความ อ้วน ของเพลา ฯลฯ ล้วนเป็นความลับที่หากอยากรู้ อาจถึงขั้นต้องซื้อตัววิศวกร ให้ย้ายทีมกันเลย
ตัวเลขกำลังสูงสุด ไม่ได้มีความสำคัญสูงสุดในการทำเวลา หรือทำความเร็วของรถนะครับ มันขึ้นอยู่กับค่าแรงบิดด้วย และตัวเลขที่บอกค่าแรงบิดสูงสุด ก็ยังไม่ได้ตัดสินความเร็วของรถเอฟ วัน ครับ ที่สำคัญที่สุด คือ ค่าแรงบิดเฉลี่ยในย่านที่ใช้งานขณะแข่ง เช่น ตั้งแต่ 13,000 รตน. ไปจนถึง 19,000 รตน. เพราะถ้าไม่นับบางสนามแค่ 1 หรือ 2 สนาม ที่มีทางตรงยาว แล้วทุกสนามแข่งเอฟ วัน เต็มไปด้วยโค้งความเร็วต่ำ และปานกลาง ซึ่งรถที่เครื่องยนต์ให้แรงบิดสม่ำเสมอ จะทำความเร็วได้ดี ตอนเร่งออกจากโค้ง
ความเร็วรอบเบาของเครื่องเอฟ วัน ไม่ต่ำกว่า 4,000 รตน. ต่ำกว่านี้ดับ เพราะแรงเฉื่อยในการหมุนของเพลาข้อเหวี่ยง และชุดคลัทช์ไม่เพียงพอ เนื่องจากถูกลดค่าไว้เต็มที่เพื่ออัตราเร่งสูงสุด ขณะทำงานที่ความเร็วสูงสุด เช่น 19,000 รตน. ความเร่ง (ที่นักแข่งเรียกกันติดปากว่า แรงจี) ของลูกสูบจะสูงถึง 10,000 จี ครับ หมายความว่าลูกสูบจะถูกก้านสูบดันหรือดึงด้วยแรง 10,000 เท่า ของน้ำหนักลูกสูบและสลักลูกสูบ เช่น ถ้าหนัก 130 กรัม ก็จะเป็นแรงเทียบเท่าน้ำหนัก 1,300 กก. ความเร็วของลูกสูบสูงสุด ประมาณ 40 เมตร/วินาที หรือ 144 กม./ชม. ถ้าเป็นค่าเฉลี่ย ก็ประมาณ 25 เมตร/วินาที หรือ 90 กม./ชม. เป็นความเร็วที่ลูกสูบครูดกับผนัง กระบอกสูบครับ
(อ่านต่อฉบับหน้า)
เรื่องโดย : เจษฎา ตัณฑเศรษฐี
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน กุมภาพันธ์ ปี 2554
คอลัมน์ Online : รู้ลึกเรื่องรถ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/82512