ชีวิตคือความรื่นรมย์
ด้วยคารวาลัยแด่...ส.คุปตาภา...
เมื่อเริ่มวัยหนุ่มและเป็นนัก (บ้า) อ่านนวนิยายยุคใหม่ เพื่อนวัยเยาว์สมัยที่อยู่มัธยมปีที่ 3 (เทียบ ม.1 ปัจจุบัน) ลูกชายนายตำรวจใหญ่คนหนึ่ง และตอนอยู่มัธยม 4-5-6 เพื่อนชื่อ ชิตพงษ์ สยามเนตร (อดีตผู้อำนวยการศูนย์ฝึกอบรมบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน)) 2 คนนี้ ที่หอบทั้งหนังสือปิยมิตร เดลิเมล์วันจันทร์ สยามสมัย เพลินจิตต์ ฯลฯ ของพี่สาว ตลอดจนสูจิบัตรภาพยนตร์-ละคร (เวที) พร้อมถ่ายทอดเรื่องราว และการร้องเพลงต่างๆ ให้ข้าพเจ้าผู้เป็นเด็กลูกชาวนาบ้านทุ่ง ได้สะสมความรู้ ด้านบันเทิงมากมายมาจนบัดนี้
รวมทั้งความรู้ว่าในวงการประพันธ์ยุคนั้น มีนักประพันธ์สตรีชั้นแนวหน้าของยุคในนาม ส.คุปตาภา ด้วยอีกคนหนึ่ง
มารู้จักตัวตนของอาจารย์สลวย โรจนสโรช ว่าเป็นครูบาอาจารย์เอาเมื่อท่านเลิกเขียนแล้ว แต่ได้ทราบว่าอาจารย์เคยเขียนบทกลอนมาตั้งแต่สมัยเป็นนักเรียนโรงเรียนราชินี สามารถเขียนกลอนถวายพรวันประสูติท่านอาจารย์ใหญ่ และได้รับเลือกลงตีพิมพ์ในหนังสือ ราชินีบำรุง เลยเป็นแรงดลใจให้เขียนเรื่องสั้นได้รับการตีพิมพ์ในหนังสือต่างๆ ตลอดจนได้เขียนเรื่องยาว (เรื่องแรกชื่อ หัวใจปรารถนา ในเพลินจิตต์รายสัปดาห์) ในนิตยสารต่างๆ ต่อมา
เมื่อข้าพเจ้าเป็นนายกสมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทยระหว่างปี 2538-39 และ 2540-2541 เรามีรายการพบปะนักเขียน-นักอ่านเป็นประจำทุกเดือน เรียกว่า จิบชา-เสวนาคนวรรณกรรม โดยเชิญสมาชิกสมาคม ฯ นักเขียน และผู้สนใจทั่วไป ให้มาพบปะสังสรรค์จิบน้ำชา กาแฟ ฟังแขกรับเชิญมาปาฐกถา-มาสนทนา-มาอภิปราย ฯลฯ บางครั้งก็แสดงสักวา เพื่อให้คนในวงการได้มาพบปะถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกัน ได้พบผู้อาวุโสที่เดินบนเส้นทางมาก่อน ได้มาให้ความรู้-ความคิดเห็น และแนะนำคนรุ่นใหม่ และผู้สนใจทั่วไป
ขอเรียนแทรกตรงนี้ว่าผู้เขียนได้ความคิดมาจาก ชมรมนักประพันธ์ ที่ตักศิลาแห่งวงวรรณกรรมสำนักสีลม หรือ โรงพิมพ์ไทยพาณิชย์การ (เจ้าของพิมพ์ไทย สยามนิกร สยามสมัย เริงรมย์ ฯลฯ) จัดขึ้น โดยมีคุณประหยัด ศ.นาคะนาท และ วิลาศ มณีวัต เป็นผู้ขับเคลื่อนคนสำคัญ
หรือการชุมนุมของ สมาคมภาษาและหนังสือแห่งประเทศไทย (ในพระบรมราชูปถัมภ์) ซึ่งเป็นสมาคมที่รวมนักปราชญ์ และปูชนียบุคคลด้านวรรณศิลป์ไว้มากมาย โดยมีบรรณาธิการแห่งบรรณาธิการอย่างอาจารย์นิลวรรณ ปิ่นทอง แห่งสตรีสารเป็นศูนย์กลางสำคัญ จัดให้มีการพบปะของสมาชิกสมาคม ฯ แต่อนุญาตให้คนทั่วไปที่สนใจ เข้าร่วมฟังได้
หรือยุคต้นทศวรรษ 2550 ข้าพเจ้ากับเพื่อนๆ เช่น สนธิกาญจน์ กาญจนาสน์/เจษฎา วิจิตร (วิจิตร ปิ่นจินดา)/สวัสดิ์ ธงศรีเจริญ/มะเนาะ ยูเด็น/วินัย ภู่ระหงษ์/โกวิท สีตลายัน/อนันต์ สวัสดิพละ/สมประสงค์ สถาปิตานนท์ (ปิ่นจินดา) ฯลฯ ร่วมกันจัดตั้ง ชมรมนักกลอน แล้วช่วยกันจัด ชุมนุมน้ำชาวันอาทิตย์ ขึ้น ให้เพื่อนๆ นักกลอน และผู้ที่สนใจ ได้มาพบปะแนะนำตัวกัน เล่าสารทุกข์สุกดิบ และแลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน ที่สำคัญมีแขกรับเชิญ เช่น นักเขียนผู้ใหญ่ มาเล่าเรื่องต่างๆ ให้ฟัง
ที่ประทับใจที่สุดในชีวิต คือ การประชุมของชุมนุมภาษาไทย คณะอักษรศาสตร์ จุฬา ฯ ครั้งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาเข้าร่วมอภิปรายเกี่ยวกับภาษาไทย เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2505 ซึ่งเป็นที่มาของวันภาษาไทยแห่งชาติ
แม้กระทั่ง...สมาคมคนโฆษณาจัดรายการ จิบชา-เสวนากับจอมยุทธ
ทุกครั้งที่อาจารย์ไปร่วมชุมนุม จิบชา-เสวนาคนวรรณกรรม เมื่อข้าพเจ้าที่เข้าไปกราบสวัสดี อาจารย์จะจับมือข้าพเจ้า และว่า นับวันคอยวันนี้ทุกเดือนนะ ขอบคุณจริงๆ ที่ทำให้คนแก่มีความสุข
มันทำให้ข้าพเจ้าทั้งปลื้มใจ และสะท้อนถอนใจ เมื่อนึกถึงความรู้สึกของนักประพันธ์รุ่นเก่าๆ ที่ไม่ค่อยได้พบใครๆ อีก หลังจากพ้น ยุคทอง ของตนๆ แล้ว
ขอบคุณจริงๆ ที่ทำให้คนแก่มีความสุข ได้ระลึกความหลัง... เป็นประโยคที่ข้าพเจ้าทั้งภูมิใจ...ตื้นตัน ในขณะเดียวกันก็อด ว้าเหว่ ไม่ได้...
หม่อมราชวงศ์อรฉัตร เล่าให้ฟังว่า เมื่อโรงเรียนราชทัศน์นาฏศิลศิลป์ของเธอจัดทำระบำชุด สวัสดิรักษา ขึ้น ได้นำเอาบทกลอนของอาจารย์สลวย ซึ่งเขียนจากตำรับของพระสุนทรโวหาร (สุนทรภู่) มาเป็นบทรำ โดยครูมนตรี ตราโมท ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (นาฏศิลป์และดนตรีไทย) เป็นผู้บรรจุเพลง และครูลมุล ยมะคุปต์ ผู้เชี่ยวชาญนาฏศิลป์ไทยเป็นผู้ประดิษฐ์ท่ารำ
บทกลอนที่มาของระบำสวัสดิรักษาอันเป็นมรดกของอาจารย์มีดังนี้(ปี่พาทย์ทำเพลงนำทุกเพลง ยกเว้นเพลงเวสสุกรรมและบรเทศ)(เพลงทองย่อน) วันอาทิตย์สิทธิเจิมเฉลิมโชค/สไบโศกทรงแดงอ่าสถาผล/จะยิ่งยศปรากฏสิริดล/โชคอานนท์หลั่งไหลไม่รู้วาย(เพลงสีนวลใน) วันจันทร์นั้นควรเครื่องสีเหลืองอ่อน/งามบังอรล้ำเลิศยิ่งเฉิดฉาย/น้ำเงินห่มเสริมสรรพรรณราย/ยามเยื้องกรายทีท่าสง่าครัน(เพลงสีนวลนอก) วันอังคารห่มชมพูชูราศี/พาให้มีสิริเพิ่มเฉลิมขวัญ/นุ่งสีโศกชูชื่นทุกคืนวัน/ อายุมั่นขวัญอยู่มิรู้รา(เพลงสะสม) วันพุธสุดดีสีเหล็กสม/จำปาห่มเรืองอำนาจวาสนา/ใช้คู่กันประเทืองเรืองเดชา/ งามโอ่อ่านงคราญสำราญใจ(เพลงพญาสี่เสา) พฤหัสจัดให้งามตามราศี/ทรงขจีสีพฤกษาพาสดใส/สอดแดงชัดตัดสีเด่นเป็นสไบ/งามวิไลใครเห็นไม่เว้นชม(เพลงตุ๊กตา) วันศุกร์ทรงน้ำเงินงามตามตำรับ/ห่มเหลืองรับเรืองเดชวิเศษสม/เฉลิมศรีฉวีผ่องต้องอารมณ์/คนนิยมชมนุชว่าสุดงาม(เพลงแขกต่อยหม้อ) เสาร์ทรงม่วงช่วงรับกับสไบ/โศกเสริมให้งามยิ่งหญิงสยาม/เพิ่มศักดิ์ศรีสูงส่งให้นงราม/ ทุกเขตคามคนสมัครรักบูชา(เพลงเวสสุกรรม) ทั้งต่างวันต่างสีมีโฉลก/อำนวยโชคสวัสดิรักษา/ โบราณท่านสอนสั่งดังกล่าวมา/สมัยใหม่ใครจะว่าก็ตามที(เพลงบรเทศ) ปวงข้าเจ้าตั้งจิตอธิษฐาน/ขอให้ท่านเจริญยศเจริญศรี/เจริญโชคต้องโฉลกสวัสดี /เจริญเกียรติบารมียิ่งอนันต์/เจริญทรัพย์ศฤงคารไพศาลยิ่ง/เจริญมิ่งสรรเสริญเจริญขวัญ/ เจริญสุขสดชื่นทุกคืนวัน/สารพันสมหวังดั่งใจเทอญ (ปี่พาทย์ทำเพลงรัวดึกดำบรรพ์)
บัดนี้วัย 80 ปีกว่าได้พราก ส.คุปตาภา หรืออาจารย์สลวย โรจนสโรช ไปแล้ว แต่พลังวิทยาทานแก่ศิษยานุศิษย์ ตลอดจนความสุขสำราญผ่านริ้วอักษรอันเคยทรงเสน่ห์ตลอดกาลนาน คงดลบันดาลให้อาจารย์ไปสุขสำราญท่ามกลางนักปราชญ์ราชกวีในสรวงสวรรค์ชั้นกวี กับนักประพันธ์ชั้นครูทุกผู้ทุกเมื่อเทอญ
เรื่องโดย : ประยอม ซองทอง
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน พฤษภาคม ปี 2551
คอลัมน์ Online : ชีวิตคือความรื่นรมย์
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/78034