ชีวิตอิสระ(4wheels)
พักโฮมสเตย์กลางป่า ตามล่าหา "บัวผุด"
ความเขียวขจีในวงล้อมของป่าต้นน้ำ ที่เต็มไปด้วยต้นไม้นานาพันธุ์ บางแห่งยังมีหมู่บ้านเล็กๆ
ซุกซ่อนตัวอยู่ บนวิถีชีวิตที่เรียบง่ายและกลมกลืน ระหว่างคนกับป่า ที่ต่างฝ่ายต่างพึ่งพาอาศัย และปกป้องซึ่งกันและกัน สถานที่ลักษณะนี้ ปัจจุบันมักมีผู้คนต่างภาษาต่างเผ่าพันธุ์หลั่งไหลเข้ามา เพื่อสัมผัสกับความเป็นอยู่ และวิธีคิดของพวกเขากันมากขึ้น
อย่าเพิ่งเบื่อ "พะโต๊ะ" นะครับ เพราะกับ "ชีวิตอิสระ" ผมเดินเข้าป่าลึกไปพร้อมหน่วยอนุรักษ์ ถือเป็น
การอ่าน 4 WHEELS CAMP ภาคต่อก็แล้วกัน
บ้านคลองเรือเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ในเขตต้นน้ำพะโต๊ะ ที่เคยหักร้างถางป่า เพื่อนำมาใช้เป็นพื้นที่ทำสวน
ผลไม้ และไร่กาแฟเลี้ยงชีพเรื่อยมา จนปี 2537 หน่วยจัดการต้นน้ำพะโต๊ะ ซึ่งมีหน้าที่หลักในการอนุรักษ์พื้นที่ป่าต้นน้ำ เห็นว่าขืนปล่อยไว้อย่างนี้ ผืนป่าคงหมดไป ในที่สุด จึงเริ่มสร้างความเข้าใจกับชุมชนในเรื่องการอนุรักษ์ป่า โดยจัดทำโครงการ "คนอยู่ ป่ายัง" เพื่อวางกฎระเบียบของชุมชน ในการใช้ประโยชน์จากป่า ด้วยกายและใจของสมาชิกในชุมชนเอง
ในที่สุด การบุกรุกแผ้วถางป่าในพื้นที่หมู่บ้านคลองเรือจึงยุติลงอย่างเด็ดขาด จนได้ชื่อว่าเป็นหมู่บ้าน
รักษาป่ายอดเยี่ยม และได้รับคัดเลือกให้รับพระราชทาน "ธงพิทักษ์ป่าเพื่อรักษาชีวิต" จากสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2541
ปี 2544 มีนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มาออกค่ายที่ห้องเรียนพิเศษคลองเรือ นักศึกษา
กลุ่มหนึ่งชื่นชอบกับบรรยากาศ และธรรมชาติของที่นี่ จึงได้ปรึกษาหารือกับคณะครูและชาวบ้านที่มองเห็นความสำคัญของทรัพยากรอันอุดมสมบูรณ์ จึงเกิดเป็นแนวทางที่จะทำให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศ หลังจากนั้นก็ได้ตั้งกลุ่มโฮมสเตย์ขึ้น และเริ่มดำเนินการสำรวจเส้นทางเพื่อใช้ในการเดินป่าศึกษาธรรมชาติ
รู้อย่างนี้ผมจึงไม่รีรอที่จะเข้าไปสัมผัสกับบรรยากาศโฮมสเตย์กลางป่าของหมู่บ้านคลองเรือ และหาก
ยังจำกันได้ เมื่อ 2 เดือนที่แล้วผมได้นำเสนอเรื่องราวการท่องเที่ยวเชิงนิเวศมาแล้วครั้งหนึ่ง ด้วยการนั่งเรือไม้ทวนกระแสน้ำเข้าสู่ใจกลางผืนป่าพะโต๊ะ แต่ครั้งนี้จะเป็นการท่องเที่ยวในรูปแบบการเดินป่าศึกษาธรรมชาติอย่างใกล้ชิดที่สุด
เมื่อผมและเจ้าหน้าที่หน่วยอนุรักษ์ ฯ เดินทางมาถึงหมู่บ้าน เราเลี้ยวซ้ายเข้าไปยังบ้านไม้ใต้ถุนสูงหลัง
หนึ่ง เจ้าของบ้านชายวัยกลางคนกำลังขะมักเขม้นกับการตัดหญ้าใต้ต้นมังคุด รู้ชื่อในภายหลังว่า "พี่แจ่ม" หนึ่งในผู้เข้าร่วมโครงการโฮมสเตย์ หลังจากเห็นพวกเราพี่แจ่มก็ละจากเครื่องตัดหญ้า แล้วเดินมาทักทายด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เมื่อทำความรู้จัก และแจ้งจุดประสงค์ในการมาครั้งนี้ พี่แกจึงอาสาเป็นคนพาพวกเราเดินเข้าไปชมบัวผุดในเส้นทางศึกษาธรรมชาติที่อยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้าน
บ่ายคล้อยหลังกินอาหารปักษ์ใต้ ที่ทั้งร้อน ทั้งเผ็ด เรียกเหงื่อจากผมได้ชุ่มตัว พวกเราจึงเริ่มเตรียม
เสบียง และจัดแจงเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เหมาะกับการเดินป่า รองเท้าบูทยางที่แวะซื้อในตลาดก่อนเข้ามาในหมู่บ้าน ถูกพันด้วยเศษผ้าชุบน้ำกรดผสมน้ำให้เจือจางแล้ว ผมถามพี่แจ่มว่าพันไว้เพื่ออะไร แกยิ้มที่มุมปากก่อนบอกกับผมว่า "ในป่าที่อุดมสมบูรณ์ มีความชื้นสูง ทากป่าจะเยอะมาก ต่อให้ใช้ถุงกันทาก ก็ไม่สามารถรอดพ้นมันได้ น้ำกรดผสมน้ำนี่แหละที่พอจะหยุดมันได้"
หลังจากเดินผ่านสวนผลไม้ และสวนปาล์มได้พักใหญ่ ทางเดินเริ่มแคบลง ต้นไม้ใบหญ้าเริ่มหนาแน่น
ขึ้น นกนานาชนิดส่งเสียงทักทาย ผสมกับเสียงของจักจั่นที่ดังไปทั่วบริเวณ บ่งบอกให้รู้ว่าพวกเราเริ่มเข้าในเขตของผืนป่า ร่มเงาของใบไม้ที่หนาแน่นทำให้แสงแดดแทบจะแทรกลงมาไม่ถึงพื้นดิน และอย่างที่พี่แจ่มพูดไว้ เจ้าสัตว์ร้ายตัวเล็กอย่างทากมันชื่นชอบสภาพภูมิอากาศแบบนี้ที่สุด แม้จะป้องกันอย่างไรก็ไม่แคล้วที่จะต้องโดนกัดจนได้ แต่ก็ถือว่าเป็นรสชาติการเดินป่า
พี่แจ่มพาเราเดินลัดเลาะไปตามลำห้วยเล็กๆ บางครั้งตัดข้ามลำห้วยซ้ายที ขวาที ทำเอาผมแทบจำทางไม่ได้ ในที่สุดเราก็ได้พบกับแหล่งของดอกบัวผุด ซึ่งตอนนี้มันกำลังเป็นดอกตูมอยู่ เท่าที่นับได้ในบริเวณนั้นมีไม่ต่ำกว่า 10 ดอก ตลอดทางที่เดินผ่านมา ผมพบสมุนไพรมากมาย แสดงให้เห็นว่าชาวบ้านที่นี่เขาช่วยกันอนุรักษ์ป่าเป็นอย่างดี
หลังจากเดินมาได้ 3 ชั่วโมงกว่าๆ เริ่มได้ยินเสียงน้ำกระทบหิน ยิ่งเดินเข้าไปใกล้เท่าไรเสียงยิ่งดังขึ้น
เมื่อพ้นความมืดครึ้มของเงาไม้ เราก็มาหยุดตรงเหนือน้ำตก "พลูหนัง" ชื่อพลูหนัง เป็นภาษาพื้นบ้าน มาจากพืชชนิดหนึ่ง คือ "พลูป่า" ที่มีอยู่เป็นจำนวนมากในบริเวณนี้ น้ำตกมีความสูงราว 24 เมตร กว้าง 35 เมตร แหล่งต้นน้ำมาจาก "เขาพ่อตาโชงโดง" ซึ่งเป็นภูเขาที่สูงที่สุดในแถบนี้
เอกลักษณ์ของน้ำตกพลูหนัง คือ เมื่อเดินมาตามทางเราจะอยู่เหนือน้ำตก หากต้องการชมความงาม
ต้องเดินลงไปด้านล่างแล้วหันกลับมาชม ซึ่งแตกต่างจากที่อื่น ที่เมื่อเดินมาตามทางจะเจอน้ำตกด้านล่างก่อน เราจึงต้องเดินลงด้านล่างเพื่อชมความงาม หยุดนั่งพักเอาแรง พร้อมกับล้างหน้าล้างตัวด้วยสายน้ำที่เย็นชื่นใจ
เมื่อขาแข้งเริ่มคืนพลัง เราจึงออกเดินทางมุ่งหน้ากลับบ้านพัก ขากลับใช้เวลาน้อยกว่าตอนมา เพราะ
เป็นเส้นทางตัดตรง เพียงชั่วโมงเศษๆ ก็มาถึงหมู่บ้าน ระหว่างทางได้แวะพูดคุยกับลุงละเมียด และลุงชำนิ ซึ่งกำลังนั่งทำสุ่มไก่กับพรรคพวกอีก 3-4 คน จึงได้ทราบว่าลุงละเมียดเป็นครอบครัวแรกที่เข้ามาในพื้นที่นี้ เพื่อร่อนแร่ดีบุก โดยการทำเหมืองแบบชักจอบ (การทำเหมืองแร่โดยการใช้จอบขนาดใหญ่ หน้ากว้างประมาณ 50-80 ซม. คุ้ยดิน หิน ทราย ตามคลอง แล้วปล่อยให้น้ำไหลผ่าน พัดพาเม็ดทรายออกไป ให้เหลือแต่แร่ ที่จะติดอยู่ด้านหลังของจอบชัก แล้วใช้เลียงซึ่งมีลักษณะคล้ายกระทะ ร่อนเพื่อคัดเลือกเอาเนื้อแร่อีกครั้ง) เมื่อแร่หาได้ยากขึ้น ประกอบกับราคาถูกลง จึงเริ่มหันมาแผ้วถางป่า เพื่อทำไร่ ปลูกข้าว ปลูกกาแฟ และผลไม้ต่างๆ ต่อมาลุงละเมียดได้ชักชวนญาติพี่น้องเข้ามาร่วมทำกินมากขึ้น และเมื่อกาแฟได้รับความนิยม และมีราคาสูง ทำให้มีผู้อพยพเข้ามาบุกรุกถางป่าทำไร่กาแฟเพิ่มมากขึ้น จนกลายมาเป็นหมู่บ้านอย่างปัจจุบัน
หลังอาบน้ำเสร็จ กับข้าวมื้อเย็นก็ได้ตั้งรอพวกเราไว้แล้ว มื้อนี้ประกอบไปด้วย แกงคั่วหอยหก (เป็น
หอยน้ำจืด คล้ายๆ หอยขม แต่ก้นจะยาวกว่า) ผัดถั่วฝักยาว ซึ่งก็ไม่ได้ไปหาซื้อมาจากไหน เพราะที่นี่เขาปลูกผักสวนครัวกันทุกบ้าน น้ำพริกกะปิ พร้อมผักกรูดไร้สารพิษยอดอ้วนๆ ลวกจิ้ม สุดท้ายคือ ไข่เจียวฟูๆ อาหารสากล
การพักแบบโฮมสเตย์นั้น มีความรู้แอบแฝงอยู่มากมาย สำคัญที่เราสามารถตักตวงได้มากน้อยแค่ไหน
แต่อย่างน้อยที่สุดก็ได้เรียนรู้วัฒนธรรมท้องถิ่น และชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเขาเหล่านั้น ซึ่งแต่ละที่
ย่อมแตกต่างกันไปแน่นอน
หมู่บ้านคลองเรือเป็นหมู่บ้านที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นหมู่บ้านที่อนุรักษ์ป่าดีเด่น แต่สิ่งที่พวกเขาเหล่า
นั้นทำ มีมากกว่าคำว่าอนุรักษ์ คนอยู่กับป่าได้อย่างกลมกลืนโดยไม่คุกคามซึ่งกันและกัน สิ่งที่ได้นอกจากจะช่วยรักษาป่าผืนนี้ไว้ ยังทำให้หมู่บ้านยืนอยู่ได้ด้วยตนเอง บนพื้นฐานเศรษฐกิจพอเพียง โดยแทบไม่ต้องพึ่งพาปัจจัยใดๆ จากภายนอกทั้งสิ้น
ขอบคุณ บริษัท สยามนิสสัน ออโตโมบิล จำกัด สนับสนุนการเดินทาง
ขอบคุณ ครอบครัววงศรีนาค อำนวยความสะดวก
บัวผุด (REFFLESIA KERRII MEIJER)
เป็นพืชอยู่ในวงศ์ RAFFLESIACEAE นับเป็นกาฝากชนิดหนึ่งที่อาศัยน้ำเลี้ยงจากรากของพืชชนิดอื่น
จะโผล่ขึ้นมาบนดินเฉพาะดอกซึ่งเป็นดอกเดี่ยวในช่วงฤดูฝน หรือระยะที่อากาศ และพื้นที่ยังมีความ
ชุ่มชื้นสูง คือ ช่วงเดือนพฤษภาคม-ธันวาคม
จากผลสำรวจและวิจัย ของฝ่ายพฤกษศาสตร์ กองบำรุง กรมป่าไม้ พบว่า บัวผุดพันธุ์ที่พบในประเทศ
ไทย เป็นพืชกาฝากที่เกาะกินเฉพาะน้ำเลี้ยงจากรากไม้เถาของว่านป่าชื่อ "ย่านไก่ต้ม" (TETRASTIGMA PAPILLOSUM PIANCH ) พันธุ์ไม้ในวงศ์องุ่น (VITIDACEAE) ที่มีเถาขนาดใหญ่ พบขึ้นในป่าดิบชื้นทางภาคใต้ที่มีฝนตกอย่างสม่ำเสมอเกือบตลอดทั้งปี เพียงชนิดเดียวเท่านั้น
บัวผุดเป็นพืชสมุนไพรที่หายากมากและมีคุณค่าสูง นอกจากจะนิยมนำมาใช้ปรุงเป็นยาบำรุงสตรีหลัง
คลอด ทำให้มีพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรง ผิวพรรณเปล่งปลั่งแล้ว ยังเป็นยาบำรุงพลังสำหรับบุรุษเพศอีกด้วย
กระโถนฤาษี (SAPRIA HIMALAYANA GRIFF)
อยู่ในวงศ์เดียวกับบัวผุด เป็นไม้กาฝากที่อาศัยอยู่ตามรากไม้ของพืชเถาวัลย์จำพวก เครือเถาน้ำ ตา
ดอกจะค่อยๆ โผล่ขึ้นมาบนพื้นดิน โดยออกเป็นดอกเดียว หรืออาจเป็นกลุ่ม เมื่อดอกบานจะมีลักษณะคล้ายถ้วยใบใหญ่ๆ หรือคล้ายกระโถนปากแตร ซึ่งเป็นที่มาของชื่อ "กระโถนฤาษี" กลีบดอกสีน้ำตาลแดงประสีเหลืองกระจายอยู่บนกลีบ ระยะเวลาการออกดอกอยู่ในช่วงเดือนตุลาคม-มกราคม
กระโถนฤาษี พบได้ในป่าดิบที่ยังคงมีความอุดมสมบูรณ์สูง ด้วยเหตุที่เป็นไม้กาฝากที่มีการดำรงชีวิต
ขึ้นอยู่กับเครือเถาน้ำ พืชในตระกูล TETRASTIGMA เท่านั้น โอกาสในการสูญพันธุ์มีค่อนข้างสูง
กีบแรด (ANGIOPTERIS EVECTA HOFFM)
ชื่อเฟิร์น พืชในวงศ์ MARATTIACEAE ได้ชื่อมาจากลักษณะของโคนลำต้น ซึ่งเมื่อโตเต็มที่จะมี
ลักษณะเป็นกีบ ดูผิวเผินคล้ายกีบเท้าของแรด ลำต้นมีลักษณะเป็นแท่งสั้นๆ จมอยู่ใต้ดินขนาดใหญ่ ก้านใบ และตัวใบมีสีเขียวสด มียางเข้มสีแดง หัวใต้ดินใช้เป็นยาฝาดสมาน แก้ท้องร่วง ขับปัสสาวะ รากใช้ห้ามเลือด ส่วนโคนลำต้นที่มีลักษณะคล้ายกีบแรดนำมาต้มแก้ไขได้ชะงัด หรือฝานตากแดดแล้วนำมาต้ม แก้โรคเบาหวานได้
เรื่องต้องทำ ถ้าอยากเที่ยวแบบโฮมสเตย์
1. ควรฝึกตนให้เป็นคนอยู่ง่าย กินง่าย ปฏิบัติตามกฎระเบียบของหมู่บ้าน เคารพในสิทธิของเจ้าของ
พื้นที่ และไม่ทำในสิ่งที่ขัดแย้งกับข้อปฏิบัติของชุมชน ไม่ลบหลู่ความเชื่อของผู้คนในท้องถิ่น
2. อาหารของบางท้องถิ่นอาจไม่เหมือนที่เราคุ้นเคย ขอให้เข้าใจว่าเป็นการเรียนรู้วัฒนธรรมอย่างหนึ่ง
อย่าพยายามฝืนให้เจ้าของสถานที่ปรุงแต่งเปลี่ยนรูปแบบเป็นรสชาติสากล เพราะจะไม่หลงเหลือ
ความเป็นเอกลักษณ์ของท้องถิ่น
3. การเข้าไปในหมู่บ้านที่ผลิตงานหัตถกรรม ควรสนใจที่จะเรียนรู้ขั้นตอนการทำงานฝีมือนั้นด้วย เพื่อ
จะได้รู้ว่างานแต่ละชิ้นกว่าจะสำเร็จต้องใช้ความเพียรพยายามเพียงใด เพื่อความภาคภูมิใจหากได้เป็นเจ้าของชิ้นงานสักชิ้นหนึ่ง
4. ศึกษาและเรียนรู้เรื่องราวที่พบเห็น เช่น ขนบธรรมเนียมประเพณี ความเชื่อ ภาษาถิ่น การแต่งกาย
ซึ่งเป็นความแตกต่างของผู้คนแต่ละท้องถิ่น เพื่อการท่องเที่ยวของเราจะได้มีคุณค่ามากขึ้น
5. สิ่งของอันเป็นเอกลักษณ์ของท้องถิ่นไม่ควรนำมาครอบครองเป็นสมบัติส่วนตัว ควรเก็บรักษาไว้ที่
เดิม เพื่อให้เป็นสมบัติส่วนรวมตลอดไป
6. ช่วยกันรักษาวัฒนธรรมอันดีงามของคนในพื้นที่ ด้วยการปฏิบัติตามคำแนะนำต่างๆ อย่าส่งเสริมให้มีการยึดถือวัตถุมากกว่าน้ำใจ เพื่อให้ความมีน้ำใจและความเอื้ออาทรยังคงอยู่เป็นเสน่ห์สืบไป
เรื่องโดย : ขุนเดช
ภาพโดย : เอกลักษณ์ จุลสุคนธ์
นิตยสาร 417 ฉบับเดือน ตุลาคม ปี 2550
คอลัมน์ Online : ชีวิตอิสระ(4wheels)
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/77405