เทคนิคตีนโต
SELF-LEVELIZER
หลังจากที่ซุ่มเงียบมานาน ก็ได้ฤกษ์เปิดตัวทายาทรุ่นใหม่ ในปีนี้ เชฟโรเลต์ หวังที่จะสร้างความหลาก
หลายให้แก่ลูกค้ามากขึ้น ด้วยการเพิ่มตัวเลือกใหม่ล่าสุดในกลุ่มรถเอสยูวี โดยเพิ่มรุ่น แคพทีวา (CAPTIVA) เป็นรถอเนกประสงค์ มีให้เลือกทั้งแบบขับเคลื่อน 2 ล้อหน้า และขับเคลื่อน 4 ล้อ แบบ AWD (ALL WHEEL DRIVE)
แคพทีวา มาพร้อมระบบขับเคลื่อนให้เลือก 2 แบบด้วยกัน คือ แบบ 2WD ขับเคลื่อนด้วยล้อคู่หน้าเพียงอย่างเดียว และระบบขับเคลื่อนแบบ 4 ล้อ AWD (ALL WHEEL DRIVE) แบบออน ดีมานด์ เพื่อเพิ่มความหลากหลายในการขับขี่ ที่นอกจากจะได้สมรรถนะที่ดีเยี่ยมจากท้องถนนแล้ว ยังสามารถตอบสนองรูปแบบการใช้ชีวิตที่หลากหลาย การขับขี่ปกตินั้นจะขับเคลื่อนด้วยล้อหน้า เพื่อเพิ่มความคล่องตัว และช่วยให้ประหยัดเชื้อเพลิงมากขึ้น แต่จะเปลี่ยนการถ่ายทอดกำลังลงล้อทั้งสี่โดยอัตโนมัติ เมื่อล้อเริ่มเกิดอาการลื่นไถลหรือขึ้นทางชัน อาศัยจากการทำงานของตัวเซนเซอร์ ซึ่งจะจับความผิดปกติจากการหมุนของล้อข้างใดข้างหนึ่ง จากนั้นระบบจะเปลี่ยนการถ่ายทอดกำลังจากล้อหน้าไปยังล้อทั้งสี่ทันที เพื่อให้ยึดเกาะถนนได้อย่างปลอดภัย ซึ่งระบบออน ดีมานด์ จะทำงานร่วมกับระบบเบรคเอบีเอส ระบบแอคทีฟ เซฟที เพื่อช่วยให้ควบคุมรถได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
ซึ่งจะทำงานควบคู่กับระบบเสริมสมดุลแรงบิด (ACTIVE TORQUE ON DEMAND) จะช่วยเสริมพละกำลังให้กับระบบขับเคลื่อนแบบ AWD ให้มีสมรรถนะดีขึ้น จากการทำงานของคลัทช์แม่เหล็กไฟฟ้ากับคลัทช์แบบเปียก ซึ่งจะทำหน้าที่ส่งกำลังสู่ระบบเฟืองท้าย เพื่อกระจายแรงบิดที่เหมาะสมมากที่สุดสำหรับเพลาล้อคู่หน้าและคู่หลัง ทั้งนี้เพื่อสร้างสมดุลและเสริมกำลังให้กับสภาพการขับขี่ที่แตกต่างกันออกไป ในสภาพถนนปกติ การถ่ายทอดกำลังจะลงสู่ล้อคู่หน้าทั้งหมดแบบ 100 % ในอัตรา 100:0 ระหว่างล้อคู่หน้ากับล้อคู่หลัง เหมือนกับขับรถขับเคลื่อน 2 ล้อหน้าตลอดเวลา เมื่อล้อคู่หน้าเกิดอาการลื่นไถล ระบบจะสั่งให้ตัวแอคทีฟ คัพลิง (ACTIVE COUPLING)
แบบแม่เหล็กไฟฟ้า จับเฟืองท้ายเพื่อถ่ายทอดแรงบิดจากล้อคู่หน้า ลงสู่ล้อคู่หลังโดยอัตโนมัติ เป็นการช่วยผลักให้ล้อหน้าหลุดจากอุปสรรค หรืออาการลื่นไถล ซึ่งอัตราการทดแรงบิดลงระหว่างล้อคู่หน้ากับคู่หลังนั้น อาจเป็นได้ทั้งในอัตรา 50:50 อัตรา 60:40 ที่อัตรา 70:30 หรืออาจมาก-น้อยกว่านี้ ขึ้นอยู่กับสภาพของถนน สภาพของการขับขี่ ว่ามีความลื่น หรือเกิดอาการล้อคู่หน้าหมุนฟรีมากแค่ไหน
เรื่องของระบบช่วงล่างน่าสนใจมากๆ ระบบช่วงล่างแบบอิสระ แมคเฟอร์สันสตรัท ในด้านหน้า และแบบอิสระ 4 ลิงค์ในด้านหลัง เพื่อให้เกิดการยึดเกาะถนนอย่างปลอดภัย และความนุ่มนวลเพื่อการขับขี่ นอกจากนี้ยังมีระบบ SELF-LEVELIZER ในด้านหลังที่จะช่วยปรับระดับของช่วงล่างให้อยู่ในระนาบเดียวกัน เช่น เมื่อมีการบรรทุกสัมภาระที่ด้านท้ายรถ น้ำหนักที่ถ่วงท้ายก็จะทำให้หน้ารถเชิดขึ้น ระบบ SELF-LEVELIZER จะปรับระดับของช่วงล่างด้านหลังให้ยกสูงขึ้น เพื่อให้ระดับของด้านหน้ารถกับด้านหลังอยู่ในแนวขนานกับพื้นถนนเท่ากัน ซึ่งทำให้ไม่เกิดอาการหน้าเชิด ช่วยให้ควบคุมรถได้อย่างมั่นคง ปลอดภัยมากยิ่งขึ้น
ระบบ SELF-LEVELIZER มีความสำคัญเพียงใด ? เมื่อรถคุณบรรทุกสัมภาระที่มีน้ำหนักมากๆ ที่ด้านท้าย ผลที่ตามมาก็คือ ท้ายรถจะห้อย ส่วนหน้ารถจะเชิดขึ้น มีผลต่อสมรรถนะการขับขี่และควบคุมรถหลายเรื่อง อาทิเช่น พวงมาลัยจะเบามากขึ้นเพราะน้ำหนักกดที่ล้อหน้าเหลือน้อย ซึ่งอาการพวงมาลัยเบานี้เวลาที่วิ่งด้วยความเร็ว หรือวิ่งในทางคดเคี้ยว จะทำให้ประสิทธิภาพในการบังคับควบคุมลดลง รวมถึงการส่ายร่อนของช่วงล่างด้านหน้า มีผลต่อเรื่องความปลอดภัยโดยตรงเลยทีเดียว อย่างที่ 2 ที่ตามมา คือ เรื่องของประสิทธิภาพการเบรคจะลดลงมาก เพราะน้ำหนักกดในด้านหน้าจะหายไปมาก ทำให้ระยะทางเบรคยาวขึ้น และอาจเสียการควบคุมได้ง่าย อันเนื่องมาจากการลื่นไถล เพราะล้อหน้ามีการยึดเกาะน้อย โอกาสเกิดอุบัติเหตุจะมีมากขึ้น รวมถึงการฉุดลากพ่วงท้ายก็จะทำให้หน้ารถลอยขึ้น จนอาจเกิดอันตรายจากการขับขี่ได้ ระบบนี้จะมีเซนเซอร์ที่ช่วงล่างด้านหลัง เมื่อมีน้ำหนักกดมากขึ้น ระบบจะทำการปรับช่วงล่างด้านหลังให้สูงขึ้นในระดับปกติ เพื่อช่วยรักษาสมรรถนะด้านต่างๆ ของตัวรถให้อยู่ในระดับปกติ ซึ่งการขับขี่ตอนกลางคืนก็มีผลต่อการทำงานของระบบไฟหน้าด้วย เพราะรถที่บรรทุกน้ำหนักมากๆ แล้วไม่มีระบบนี้ เมื่อหน้ารถเชิดขึ้น ลำแสงของไฟหน้าก็จะไม่จับกับถนน ทัศนวิสัยก็จะแย่ลง น่าเสียดายที่ข้อมูลรายละเอียดนั้นมีไม่มากนัก จึงไม่สามารถจำแนกลักษณะการทำงานได้อย่างละเอียด เอาเป็นว่าเป็นการแนะนำตัวคร่าวๆ ไปก่อน เมื่อมีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการ เราจะนำรายละเอียด และหลักการทำงานแบบเจาะลึกมาแจกแจงให้ทราบอีกครั้ง
เรื่องของความสวยงามนั้นไม่แพ้รถ เอสยูวี ที่มีขายในท้องตลาด เน้นความโค้งมนและเสริมด้วยเส้นสายที่เฉียบคม จุดเด่นอยู่ที่มุมมองด้านหน้าด้วยไฟหน้าขนาดใหญ่ดูดุดัน และกระจังหน้าที่โดดเด่น รวมไปถึงขอบคิ้วด้านข้างตัวรถ ที่ทำให้รถดูคล่องแคล่วพลิ้วไหว การออกแบบภายในห้องโดยสาร เน้นความหรูหรา และความอเนกประสงค์จากการใช้งาน มีความกว้างขวางสะดวกสบายจากเบาะโดยสาร 7 ที่นั่ง เมื่อพับเบาะแถวที่ 3 ราบลง จะมีปริมาตรในการขนสัมภาระอยู่ที่ 465 ลิตร และเมื่อปรับเบาะแถวที่ 2-3 ให้เรียบในระดับเดียวกัน จะเพิ่มพื้นที่ใช้สอยสูงสุดถึง 930 ลิตร
แคพทีวา เปิดตัวด้วยเครื่องยนต์ ความจุ 2.4 ลิตรเพียงรุ่นเดียว เป็นเครื่องยนต์แบบ DOHC 16 วาล์ว 4 สูบ ให้กำลังสูงสุด 142 แรงม้า ที่ 5,200 รตน. แรงบิดสูงสุด 22.4 กก.-ม. ที่ 4,000 รตน. ระบบเกียร์อัตโนมัติแบบ 5 จังหวะ พร้อมระบบทิพทรอนิค ที่มีเกียร์แบบแมนวล ชิฟท์ มีให้เลือกทั้งระบบขับเคลื่อน 4 และ 2 ล้อ จากนั้นก็จะเปิดตัวรุ่นเครื่องยนต์ดีเซลตามมาติดๆ พร้อมระบบขับเคลื่อนให้เลือก 2 แบบเช่นกัน
เรื่องโดย : พหล ฯ
ภาพโดย : -
นิตยสาร 417 ฉบับเดือน สิงหาคม ปี 2550
คอลัมน์ Online : เทคนิคตีนโต
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/57953