เทคนิคตีนโต
ความปลอดภัยสำหรับเด็ก
เป็นเรื่องธรรมดาไปแล้วสำหรับคนไทย ที่มักมองข้ามในเรื่องของความปลอดภัย ทั้งจากการทำงานและการเดินทาง กรณีการทำงานนั้นเพิ่งมีความตื่นตัวในเรื่องของความปลอดภัยเมื่อไม่นานมานี้การสวมหมวกนิรภัย, รองเท้านิรภัย, แว่นนิรภัย ฯลฯ จะมีก็แต่บริษัทฝรั่งและญี่ปุ่นเท่านั้น ที่ให้ความสำคัญในเรื่องนี้ โรงงานที่เป็นของคนไทยนั้นเจ้าของมักไม่ให้ความสำคัญในเรื่องความปลอดภัยเท่าไรนักเคยเห็นเป็นประจำ เช่น โรงงานทำประตูเหล็กม้วน คนงานยังใส่รองเท้าผ้าใบ หมวกนิรภัยก็ไม่มี ทั้งๆที่มีเหล็กกองสูงเกือบเท่าหลังคาโรงงาน อะไรต่อมิอะไรระโยงระยางเหนือหัวเต็มไปหมด
ส่วนเรื่องการใช้รถใช้ถนนนั้นยิ่งแล้วใหญ่ เข็มขัดนิรภัยก็คาดแค่ไม่ให้โดนจับเท่านั้น ไม่ได้สนใจเรื่องว่ามันจะสามารถช่วยป้องกันอันตรายที่เกิดกับตัวคุณเองได้มากขนาดไหน ที่เลวร้ายกว่านั้นคือ เรื่องของการนำเด็กโดยสารไปกับรถยนต์ มากกว่า 99 % ของผู้ใช้รถทั้งหมดที่จะเห็นความสำคัญในเรื่องของความปลอดภัยสำหรับเด็ก ในบ้านเรานั้นรถยนต์เป็นเหมือนห้องนั่งเล่นของเด็กๆ ที่เคลื่อนที่ได้มากกว่าพ่อแม่ผู้ปกครองมักจะปล่อยให้เด็กนั่งตักหรือวิ่งเล่นไปมาตามความพอใจ โดยหารู้ไม่ว่า นั่นเหมือนกับ
การปล่อยให้ลูกหลานวิ่งเล่นบนระเบียงสูงๆ ที่ไม่มีราวกั้น ไม่ต่างกันเลยจริงๆ นะครับ ถ้าคุณปล่อยให้เด็กๆ อยู่ในรถโดยไม่ใส่ใจในเรื่องของความปลอดภัย ไม่ว่ารถคันละ 300,000 บาท หรือ 3,000,000บาท มันก็เหมือนโลงศพสำหรับเด็กดีๆ นี่เอง
อย่าคิดว่าเป็นเรื่องล้อเล่นนะครับ ถ้าคุณปล่อยให้เด็กนั่งหน้า แล้วรถวิ่งด้วยความเร็ว 40 กม./ชม.ยกตัวอย่างว่า ลูกคุณอายุประมาณ 5-6 ขวบ น้ำหนักราว 30 กิโลกรัม ในความเร็วคงที่นี้ ถ้าคุณชนกับเสาไฟฟ้าหรือกำแพงแข็งๆ เด็กจะกระเด็นไปปะทะกับกระจกหน้าหรือคอนโซลหน้า แรงปะทะที่เกิดขึ้นนั้นเทียบเท่ากับน้ำหนักประมาณ 1 ตันเลย ความรุนแรงจะมากขึ้นตามความเร็วและน้ำหนักตัว
ของเด็ก แรงปะทะที่รุนแรงนี้เด็กอาจจะกระเด็นออกไปนอกรถได้ง่ายๆ แม้คาดเข็มขัดนิรภัยก็ไม่สามารถช่วยได้ ซ้ำร้ายรถที่มีถุงลมนิรภัยนั้นยิ่งเป็นอันตรายสำหรับเด็กมากๆ เพราะการระเบิดของถุงลมนั้นรุนแรงมากพอที่จะทำให้เด็กบาดเจ็บสาหัส หรือเสียชีวิตในทันที เพราะแรงปะทะที่เกิดขึ้นระดับนี้เท่าๆกับผู้ใหญ่ดิ่งลงมาจากตึกชั้นสองโดยเอาหน้าอกกระแทกพื้น คิดดูว่ามันจะรุนแรงขนาดไหน และเด็กที่ร่างกายยังไม่แข็งแรงนั้น โอกาสบาดเจ็บและเสียชีวิตจะสูงกว่าผู้ใหญ่หลายเท่าตัว
เด็กแรกเกิดจนถึงอายุราว 12 ปี หรือจนกว่าความสูงจะมากกว่า 120 ซม. ถึงจะเหมาะสำหรับเข็มขัดนิรภัยติดรถแบบที่ผู้ใหญ่ใช้อยู่ ถ้าแบ่งประเภทของเด็กตามความเหมาะสม จะสามารถแบ่งได้ 3 ระดับสำหรับการเลือกใช้เบาะสำหรับเด็ก
- เด็กแรกเกิดถึงอายุประมาณ 1 ปี เสี่ยงต่อการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์มากที่สุด เนื่องจากกระดูกต้นคอยังอ่อนมากๆ และน้ำหนักของศีรษะก็มีมากถึง 1 ใน 4 ของน้ำหนักตัว ผู้ใหญ่จะมีน้ำหนักของศีรษะเพียง 6 % ของน้ำหนักตัว หมายความว่า เมื่อเกิดแรงปะทะ โอกาสที่เด็กจะคอหักมีมากกว่าหลายเท่าตัว เด็กในวัยนี้ต้องใช้เบาะสำหรับเด็ก ที่มีลักษณะเป็นแบบตะกร้า และต้องนั่งหันหลังไปทางหน้ารถ ตำแหน่งที่ดีที่สุด คือ นั่งหันหลังชนกับคนขับจะดีที่สุด กรณีที่เกิดอุบัติเหตุ แผ่นหลังของเด็กจะช่วยรับแรงกระแทกส่วนหนึ่ง โอกาสที่จะเกิดคอหักหรือการบาดเจ็บที่ต้นคอจะน้อยลงมาเมื่อเด็กมีความสูงใกล้ขอบเบาะ ต้องเปลี่ยนใหม่ให้เหมาะสมกับขนาดและน้ำหนักตัวของเด็ก
- สำหรับเด็กอายุ 1-3 ขวบ ยังต้องนั่งหันหลังพิงกับคนขับเช่นเดิม เพราะร่างกายของเด็กยังอยู่ในช่วงพัฒนาการ ทั้งเรื่องของโครงสร้างกระดูกกำลังเปลี่ยนแปลงและยังอ่อนแอมาก ต้องให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก
- เมื่อเด็กมีอายุมากกว่า 3 ปี หรือความสูงถึงพนักพิงเบาะ ต้องเปลี่ยนเบาะใหม่อีกครั้ง และสามารถปรับเปลี่ยนท่านั่งให้หันหน้าไปทางหน้ารถได้ปกติ เพราะร่างกายมีความแข็งแรงเพียงพอ ซึ่งเบาะสำหรับเด็กโตนี้ สามารถใช้งานได้นานกว่า แล้วจะดูได้อย่างไรว่าเด็กจะพร้อมเดินทางได้แบบปกตินั้นก็ต่อเมื่อเด็กมีความสูงของร่างกายมากกว่า 120 ซม. ขึ้นไป หรือเมื่อให้ลองนั่งในตำแหน่งปกติ
แล้วคาดเข็มขัดดู ถ้าสายเข็มขัดพาดผ่านไหล่พอดีๆ ไม่พาดผ่านลำคอ ก็ถือว่าสามารถเลิกใช้เบาะเด็กได้
โดยเฉลี่ยแล้วเด็กจะต้องเปลี่ยนเบาะประมาณ 3 ครั้ง ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับลักษณะการออกแบบของเบาะแต่ละรุ่นด้วย อย่าคิดว่าการอุ้มเด็กไว้ในอ้อมกอด หรือนั่งบนตัก จะมีความปลอดภัยเพราะเมื่อเกิดแรงปะทะอย่างรุนแรง ตัวผู้ใหญ่เองยังเอาตัวไม่รอดเลย นับประสาอะไรกับเด็กที่ไม่สามารถช่วยตัวเองได้แม้แต่น้อย ลองคิดดูง่ายๆ ว่าตู้ลำโพงที่ยึดไว้หลังเบาะนั่ง ตัวนอทแท้ๆยังกระเด็นหลุดออกจากที่ยึดได้ง่ายๆ ทั้งๆ ที่ติดตั้งแน่นหนา ชีวิตลูกหลานคุณมีความสำคัญมากกว่าสิ่งอื่นใด การลงทุนสำหรับเบาะเด็กนั้นไม่ใช่เรื่องฟุ่มเฟือยเลยแม้แต่น้อย ถ้าคิดเป็นเงินก็เฉลี่ยปีละ 3,000-4,000 บาทเท่านั้น แลกกับความคุ้มค่าในความปลอดภัยของเด็ก หลายครั้งที่อ่านข่าวแล้วหงุดหงิดใจ เพราะเนื้อข่าวจะพาดหัวประมาณว่า "สลดเด็ก 2 ขวบพุ่งทะลุกระจกหน้าดับสยอง..." แล้วก็เป็นรูปรถยี่ห้อนั้นๆ เหมือนกับโยนความผิดให้กับรถว่าไม่มีความปลอดภัย จริงๆแล้วน่าจะพาดหัวว่า "พ่อแม่เด็ก 2 ขวบประมาท เป็นเหตุให้ลูกถึงแก่ความตาย..."อย่างนี้มันถึงจะเข้าท่ากว่า
เรื่องโดย : พหลฯ 30
ภาพโดย : -
นิตยสาร 417 ฉบับเดือน กรกฏาคม ปี 2550
คอลัมน์ Online : เทคนิคตีนโต
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/57885