เจาะสนามแข่งต่างประเทศ
WORLD RALLY CHAMPIONSHIP 2006 สนามที่ 12-13
การแข่งขันแรลลีชิงแชมพ์โลกดำเนินมาถึงสนามที่ 12 ที่ประเทศสาธารณรัฐไซปรัส มีภูมิประเทศสวยงาม ใจกลางคาบสมุทรเมดิเตอร์เรเนียน
ปีนี้การแข่งขันที่นี่มีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาการจัดการแข่งขัน ที่ย้ายจากเดือนพฤษภาคม มาปลายเดือนกันยายน ทำให้สภาพลมฟ้าอากาศเปลี่ยนไปจากเดิมมาก รวมทั้งเส้นทางการแข่งขันที่ย้ายมาแข่งที่เมืองปาโฟส (PAPHOS) อยู่ทางฝั่งตะวันตกของประเทศ เส้นทางส่วนใหญ่สามารถใช้ความเร็วได้สูง แต่พื้นถนนก็เต็มไปด้วยก้อนหินน้อยใหญ่ที่พร้อมจะทดสอบความแข็งแกร่งระบบช่วงล่างของรถแข่งได้อย่างดี
เซบัสเตียง โลบ์ (SEBASTIEN LOEB) จากทีม ซีตรอง เป็นนักแข่งเพียงคนเดียวที่เคยคว้าแชมพ์ที่นี่ได้ 2 สมัยซ้อน ในปี 2004 และ 2005 นอกนั้นล้วนเป็นนักขับรุ่นเก๋าที่ผลัดกันมาคว้าแชมพ์ที่นี่อย่างทั่วถึง
เช้าวันแรก เริ่มต้นการแข่งขันด้วยสภาพอากาศแจ่มใส แสงแดดที่แรงจ้าทำให้น้ำค้างบนผิวถนนเริ่มแห้ง และเปลี่ยนเป็นฝุ่นอย่างรวดเร็ว มาร์คุส โกร์นโฮล์ม (MARCUS GRONHOLM) นักขับรุ่นเก๋าทีม บีพีฟอร์ด อาศัยการเซทรถที่ลงตัว และการเลือกใช้ยางที่เหมาะกับสภาพถนน ออกสตาร์ททิ้งห่าง โลบ์ แชมพ์เก่าไปก่อน 2.2 วินาที เมื่อจบสเตจแรก
ด้าน โทนี การ์เดไมสเตอร์ (TONI GARDEMEISTER) ออกสตาร์ทด้วยการทำผลงานได้อย่างน่าพอใจโดยรั้งอันดับ 3 ได้จนจบสเตจ 3 แต่แล้วเมื่อถึงสเตจ 4 โชคเริ่มไม่เข้าข้าง เมื่อคู่ปรับเก่าอย่าง มิคโค ฮีร์ โวเนน (MIKKO HIRVONEN) ที่ขับแบบอาศัยความแน่นอน ทำเวลาตีตื้นขึ้นมาจนแซงหน้าได้สำเร็จถือเป็นการต่อสู้กันอย่างดุเดือดเพื่อแย่งชิงอันดับสุดท้ายบนโพเดียม
และเมื่อการแข่งขันในสเตจที่ 5 เริ่มขึ้นไม่นาน รถของ การ์เดไมสเตอร์ ยางเกิดรั่วขึ้นมากะทันหันทำให้ต้องเสียเวลาเปลี่ยนยางหลายนาที จบเลกแรก เวลารวมตกลงไปอยู่อันดับ 8 ตามหลังอันดับ 7 อยู่ 0.1 วินาที ส่วนผู้นำอันดับ 1-3 ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง
บรรยากาศการแข่งขันในเลกที่ 2 ยังคงคล้ายกับเลกแรก ตั้งแต่สภาพภูมิอากาศ ไปจนถึงการขับเคี่ยวกันอย่างหนักของนักแข่ง และคู่ที่มีคนสนใจมากที่สุดคือ คู่ของ โกร์นโฮล์ม และโลบ์ ที่รั้งตำแหน่งที่ 1 และ 2 มาตั้งแต่เริ่มการแข่งขัน โดยช่วงเช้าเป็น โกร์นโฮล์ม ที่ทำเวลาดีกว่า และทิ้ง โลบ์ ออกไปไกลอีกเป็น 6.4 วินาที แต่ในช่วงบ่ายเรื่องราวเปลี่ยนไปเป็นทางตรงข้าม เมื่อ โลบ์ พยายามอย่างหนักตลอดช่วงบ่ายเพื่อที่จะขึ้นมาเป็นผู้นำ และแล้วเมื่อจบเลก 2 โลบ์ มีเวลารวมขึ้นมาเป็นผู้นำ แซงหน้า โกร์นโฮล์ม ไปอีกถึง 21.8 วินาที
แม้จะขับเคี่ยวกันอย่างหนักกับ โกร์นโฮล์ม ตลอดทั้ง 3 วัน แต่ความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยจากการเลือกใช้ยางผิดชนิดในวันที่สอง และการหมุนในช่วงท้ายการแข่งขันของ โกร์นโฮล์ม ส่งผลให้ โลบ์ คว้าแชมพ์ได้สำเร็จในที่สุด นับเป็นชัยชนะครั้งที่ 28 โดยทำลายทั้งสถิติตัวเองและสถิติโลกลงอย่างราบคาบ ด้าน โกร์นโฮล์ม จบการแข่งขันด้วยเวลาช้ากว่าผู้นำเพียง 21.2 วินาที ด้านอันดับ 3 เป็นของเพื่อนร่วมทีมอย่าง ฮีร์โวเนน ที่ทำเวลาทิ้งอันดับ 4 ไปถึง 1 นาที 23.6 วินาที
แม้ว่าทีม ฟอร์ด จะพลาดตำแหน่งแชมพ์ไปอย่างเฉียดฉิว แต่ก็ยังถือว่าประสบความสำเร็จ เนื่องจากนักขับทั้ง 2 คนของทีม สามารถขึ้นไปยืนบนโพเดียมได้ทั้งคู่
เวิร์ลด์ แรลลี แชมเพียนชิพ 2006 สนาม 13
ประเทศตุรกี ได้รับการบรรจุในปฎิทินการแข่งขันแรลลีชิงแชมพ์โลกครั้งแรกในปี 2003 ด้วยสภาพภูมิประเทศที่เป็นเอกลักษณ์ พร้อมการผสมผสานกันอย่างลงตัวระหว่างวัฒนธรรมตะวันออกกลางยุคโบราณกับวัฒนธรรมตะวันตกยุคใหม่ ทำให้ในแต่ละปีมีนักท่องเที่ยวจำนวนมากเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวที่นี่โดยเฉพาะในช่วงที่มีการแข่งขันแรลลีชิงแชมพ์โลก
ในปีนี้การแข่งขันถูกเลื่อนจากเดือนมิถุนายน ไปเป็นเดือนตุลาคม แต่ยังอยู่ในช่วงที่สภาพอากาศใกล้เคียงกัน เส้นทางการแข่งขันส่วนใหญ่เป็นทางลูกรัง และทางกรวด พร้อมกับหลุมขนาดใหญ่เป็นช่วงๆ นอกจากทักษะที่คล่องแคล่วว่องไวแล้ว สายตาที่ดีของนักขับจะมีส่วนช่วยให้มองเห็นอุปสรรค และสามารถหลบหลีกได้อย่างทันท่วงที
ผลการแข่งขันทั้ง 3 ปีที่ผ่านมา ทีม ซีตรอง สามารถคว้าแชมพ์ที่นี่ได้ทั้งหมด โดย เซบัสเตียง โลบ์ คว้าแชมพ์ที่นี่ได้ถึง 2 ครั้งรวดในปี 2004-2005
อย่างไรก็ตาม สถิติชนะรวดของ โลบ์ คงต้องหยุดไว้แค่ที่สนามไซปรัส เนื่องจากก่อนหน้าการแข่งขันที่ตุรกีจะเริ่มขึ้นเพียง 1 สัปดาห์ บรรดาแฟนคลับของ โลบ์ รวมทั้งทีมงานของ ซีตรอง ต้องเจอกับข่าวร้ายเมื่อ โลบ์ ประสบอุบัติเหตุจนแขนหัก 4 ท่อน ระหว่างการขี่จักรยานเสือภูเขาในประเทศฝรั่งเศสจากเหตุการณ์ในครั้งนั้น ทำให้ มาร์ค วาน ดาเลน (MARC VAN DALEN) ตัดสินใจส่ง คอลิน แมคเร (COLIN McRAE) นักขับรุ่นเก๋าลงมาแทน หวังเก็บแต้มประเภททีมผู้ผลิต
ฝนที่ตกลงมาอย่างหนัก และพายุที่พัดกระหน่ำตลอดทั้งคืน ทำให้สเตจ 1, 2 และ 4 ต้องถูกยกเลิกไปโดยปริยาย
ด้าน มาร์คุส โกร์นโฮล์ม หลังจากที่บรรดาเซียนต่างคาดการณ์ว่าน่าจะคว้าชัยที่สนามนี้ไม่ยาก หลังจากที่คู่ปรับอย่าง โลบ์ ไม่สามารถลงแข่งได้ แต่เมื่อการแข่งขันเริ่มขึ้น แม้ว่า โกร์นโฮล์ม จะทำเวลาเร็วที่สุดได้ถึง 3 สเตจรวด แต่กลายเป็น เพทเทร์ โซลเบร์ก (PETTER SOLBERG) จากทีม ซูบารุ ที่ฟอร์มเริ่มเข้าที่อีกครั้ง ทำเวลาดีที่สุดในอีก 3 สเตจที่เหลือ และทำเวลาตามหลัง โกร์นโฮล์ม เมื่อจบเลกแรกเพียง 26 วินาทีเท่านั้น
เลกที่ 2 นอกจากนักแข่งทุกคนต้องต่อสู้กับคู่แข่งขันแล้ว ยังต้องต่อสู้กับสภาพอากาศที่มีฝนตกลงมาอย่างต่อเนื่องตลอดวัน จนสภาพถนนเปลี่ยนเป็นทางโคลนลึก แต่ โกร์นโฮล์ม ก็ยังอาศัยการขับแบบประคอง จบวันที่สอง ได้ด้วยเวลารวม 2 ชั่วโมง 49 นาที 50.4 วินาที อย่างไรก็ตาม อันดับ 2 กลับไม่ใช่ โซลเบร์ก หลังจากที่เขาพลาดท่าทำรถลื่นไปกระแทกกับก้อนหินขนาดใหญ่ ในช่วง 4 กิโลเมตรแรกของสเตจรองสุดท้าย กลายเป็น มิคโค ฮีร์โวเนน เพื่อนร่วมทีมที่ได้รับส้มหล่น ขยับขึ้นมาเป็นอันดับ 2 ตามหลังอยู่ 2 นาที 5.2 วินาที
เข้าสู่ 3 สเตจสุดท้ายของวันสุดท้าย ท้องฟ้าเริ่มโปร่ง อากาศแห้งและสดใส นักขับส่วนใหญ่รู้สึกโล่งใจและพอใจกับสภาพอากาศแบบนี้มากกว่า อย่างไรก็ตาม ผลการแข่งขันในอันดับที่ 1-3 ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงจากวันที่สอง โกร์นโฮล์ม สามารถคว้าแชมพ์เป็นครั้งที่ 5 ของฤดูกาลได้สำเร็จ ด้าน ฮีร์โวเนน เพื่อนร่วมทีม จบการแข่งขันเป็นอันดับ 2 ซึ่งเป็นอันดับที่ดีที่สุดในการแข่งขันแรลลีชิงแชมพ์โลกของเขา ส่วนอันดับ 3 เป็นของ เฮนนิง โซลเบร์ก (HENNING SOLBERG) จากทีม โอเอมวี เปอโฌต์
จากผลการแข่งขันในครั้งนี้ แม้ว่า เซบัสเตียง โลบ์ จะไม่ได้ลงแข่งที่นี่ แต่ยังคงมีคะแนนสะสมรวมเป็นผู้นำอยู่ โดยมีทั้งสิ้น 112 แต้ม ส่วนอันดับ 2 เป็นของ มาร์คุส โกร์นโฮล์ม ที่ตีตื้นขึ้นมา มี 87 คะแนน ส่วนที่ 3 เป็นของทีม ฟอร์ด เช่นกัน โดย มิคโค ฮีร์โวเนน มี 47 คะแนน
ด้านคะแนนสะสมประเภททีมผู้ผลิต กลายเป็นทีม ฟอร์ด ที่ขยับแซงหน้าขึ้นมาเป็นผู้นำ โดยทำได้ทั้งสิ้น 153 คะแนน ส่วน ซีตรอง ตกชั้นลงมาอยู่อันดับ 2 มี 145 คะแนน และทีม ซูบารุ ได้ไป 83 คะแนน
สรุปผลคะแนนการแข่งขัน สนามที่ 13 ประจำปี 2006 ประเภทผู้ขับ
[table]อันดับ, ผู้ขับ, คะแนนรวม
ชนะเลิศ, เซบัสเตียง โลบ์, 112
รองอันดับ 1, มาร์คุส โกร์นโฮล์ม, 87
รองอันดับ 2, มิคโค ฮีร์โวเนน, 47
สรุปผลคะแนนการแข่งขัน สนามที่ 13 ประจำปี 2006 ประเภททีมผู้ผลิต,,
อันดับ, ทีม, คะแนนรวม
ชนะเลิศ, ฟอร์ด, 153
รองอันดับ 1, ซีตรอง, 145
รองอันดับ 2, ซูบารุ, 83[/table]
เรื่องโดย : สิทธิพงศ์ วิยาภรณ์
ภาพโดย : โรงงาน
นิตยสาร 417 ฉบับเดือน ธันวาคม ปี 2549
คอลัมน์ Online : เจาะสนามแข่งต่างประเทศ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/57591