รุ่นนี้พอมีเหลือ
เส้นทางนักเขียน
มีผู้นับถือ และรักใคร่หลายคน ชอบถามข้าพเจ้าเสมอว่า การเป็นนักเขียนพึงกระทำอย่างไร และใคร่ทราบเส้นทางแห่งการเป็นนักเขียนหนังสือของข้าพเจ้าด้วย ซึ่งข้าพเจ้าก็หาเวลาตอบได้ยาก แต่ครั้งนี้ก็จะลองดู
ข้าพเจ้าเขียนหนังสือเป็นอาชีพที่หนังสือรายสัปดาห์ เป็นหนังสือเกี่ยวกับความบันเทิงเริงรมย์ชื่อหนังสือ "ดารา" อยู่ผ่านฟ้า ทางไปนางเลิ้ง ซึ่งบริเวณเดียวกันนั้นมีหนังสือเกี่ยวกับภาพยนตร์และโทรทัศน์เป็นเพื่อนกันมากกว่า 1 เล่ม
หนังสือ "ดารา" เป็นของคุณกลาง สัมมาพันธุ์ ถัดจากเราไปไม่กี่คูหาก็เป็นหนังสือ "ภาพยนตร์โทรทัศน์" ของคุณไพรัช กสิวัฒน์ ซึ่งมีคุณเชิด ทรงศรี เป็นกัปตัน
เขียนเรื่องเกี่ยวกับถนนบันเทิงได้ไม่นาน หนังสือพิมพ์ "เสียงอ่างทอง" สำนักงานใหญ่ ซอยวรพงษ์ บางลำพู ก็ติดต่อขอให้ข้าพเจ้าไปเขียนคอลัมน์ลงในหน้า 4 เป็นประจำทุกวัน
ข้าพเจ้าจึงเริ่มเขียนคอลัมน์ "หลังอาหาร-ลับแลสำราญ โดย จอสยาม" ให้กับ "เสียงอ่างทอง" ในหน้า 4 เป็นคอลัมน์สั้นๆ ว่าด้วยเรื่องตลกโปกฮาสั้นๆ ฝรั่งเรียกว่า "เดอร์ที โจก" เขียนไปมาก็ได้รับความนิยมจากท่านผู้อ่าน
ไม่ใช่เป็นเพราะข้าพเจ้าเขียนเก่ง แต่เป็นเพราะหนังสือพิมพ์รายวัน "เสียงอ่างทอง" นั้น เป็นหนังสือพิมพ์รายวันที่อยู่ในความนิยมของท่านผู้อ่าน โดยเฉพาะข่าวเด็ดคดีฆ่านวลฉวี อันเป็นผลทำให้ คุณรังษี เราเจริญ นักข่าวได้รับรางวัลพูลิทเซอร์
ข้าพเจ้าไม่มีโต๊ะทำงานประจำที่สำนักงาน "เสียงอ่างทอง" แต่ด้วยความคุ้นเคย ต่อมาก็อาศัยห้องแอร์ของคุณประสาน มีเฟื่องศาสตร์ นั่งทำงานอยู่ด้วยกัน หน้าชนกันทุกวัน ออกไปกินข้าวเที่ยงที่ โลลิตาถนนราชดำเนินด้วยกันทุกวัน
หนังสือหนังหาไม่ค่อยจะได้เขียนสักเท่าไรนัก หาประสบการณ์ในการตระเวนกรุงเทพ ฯ มากกว่า ทั้งกลางวัน ตอนบ่ายและกลางคืนยันดึก ไนท์คลับเลิกแล้ว
บรรดาเรื่องโจก ที่เล่าไปเป็นรายวันนั้น จำได้ว่ามีเรื่องหนึ่งที่เล่าแล้ว "กะแช่" "สีเสียด" หรือคุณประสาน ชอบมาก คือ
"กาลครั้งนั้น พระเจ้าอาเธอร์ทรงโปรดปรานพระชายากวีนิแวร์ เป็นอันมาก
และก็น่าโปรดเช่นนั้น ด้วยเหตุพระเจ้าอาเธอร์ทรงเป็นบุรุษเพศ และพระนางกวีนิแวร์ทรงเป็นสตรีเพศซ้ำยังมีสิริโฉมงดงามต้องตามตำราทุกประการ
แต่พระเจ้าอาเธอร์ก็ไม่ได้ทรงโปรด กวีนิแวร์ เพียงอย่างเดียว ยังโปรดการล่าสัตว์อีกด้วย และชอบการล่าสัตว์ด้วยการประทับแรมในป่า ไม่ใช่เช้าเสด็จไปเย็นกลับ
ครั้งนั้น พระเจ้าอาเธอร์ก็เสด็จประพาสป่าเพื่อการล่าสัตว์ แต่ก่อนจะออกจากวังก็จัดการสวมใส่ เข็มขัดนิรภัยลักษณะคล้ายกระจับปิ้ง ให้แก่ กวีนิแวร์ เป็นเข็มขัดนิรภัยที่จัดทำเป็นพิเศษโดยมีเครื่องตัดคมลักษณะคล้ายกิโยติน-อาวุธประหารของฝรั่งเศส ติดอยู่ปากทางเอนทรานศ์ หากมีสิ่งแปลกปลอมผ่านเข้าไป ก็จะถูกตัดขาดทันที
เสร็จแล้วก็เอากุญแจติดพระองค์ออกป่า และเมื่อเสด็จกลับมาก็เรียกอัศวินทั้งหลายเข้าเฝ้าเป็นการส่วนพระองค์ สำรวจดูอาวุธติดกายของอัศวินที่เข้าเฝ้าถวายงาน 7 คน ปรากฏว่า อาวุธของพวกเขาขาดทั้งหมด ยกเว้นคนเดียว คือ ลานสลอท
พระเจ้าอาเธอร์ ทรงชมเชยว่า ลานสลอทเป็นอัศวินที่ใช้ได้ ทรงตั้งให้เป็นเซอร์ลานสลอท ขณะทรงใช้ พระแสงดาบแตะลงบนไหล่ของเซอร์ลานสลอท เป็นระเบียบของลานสลอท จะต้องเปล่งคำน้อมรับ
ปรากฏว่า เซอร์ลานสลอท เปล่งเสียง "แอ๊ะ แอ๊ะ แอ๊ะ..." ไม่มีลิ้นปรุงคำถวายพระเจ้าอาเธอร์"
การเขียนหนังสือของข้าพเจ้าเป็นไปด้วยความราบรื่น จนคุณวิมล พลกุล หัวหน้ากองบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ "เสียงอ่างทอง" สมัยนั้น ได้มอบหมายหน้าที่ให้ข้าพเจ้าเขียนเพิ่มอีก 1 คอลัมน์
เป็นคอลัมน์ใหม่เอี่ยมบนหน้าบันเทิง ซึ่งสมัยนั้นหนังสือพิมพ์รายวันทุกฉบับยังไม่มีใครคิดคอลัมน์ "ปีกซ้าย" ขึ้นมา
และนั่นคือ คอลัมน์ "วันวิพากษ์" คอลัมน์ใหม่ของข้าพเจ้า และข้าพเจ้าเริ่มใช้นามปากกา "ไก่อ่อน" ชื่อคอลัมน์นั้นเลียนชื่อมาจากภาพยนตร์ยิ่งใหญ่ของทเวนที เซนจูรี ฟอกซ์ "วันเผด็จศึก" หรือ THE LONGEST DAY เข้าฉายศาลาเฉลิมไทย ผ่านฟ้า เป็นภาพยนตร์ลงทุนมาก ใช้ดารามาก เพลงของ เรื่องนี้ยังได้รับการใส่เนื้อเพลงภาษาไทยซึ่งเขียนโดยคุณชาลี อินทรวิจิตร
ข้าพเจ้าต้องเขียนคอลัมน์ "วันวิพากษ์" ในหน้าบันเทิงทุกวัน การเขียนคอลัมน์สมัยนั้นนักเขียนต้องอยู่ในวินัยมากกว่าสมัยนี้ เสรีภาพก็มีจำกัดไม่กว้างขวางเหมือนวันนี้ ข้าพเจ้าต้องเขียนทุกวัน เรื่องหรือวัตถุดิบที่ได้มาก็มักเป็นประสบการณ์เที่ยวกลางคืน
ซึ่งก็มักจะวนเวียนอยู่ไม่กี่ถนน เริ่มตั้งแต่ถนนสีลม ย่านศาลาแดง ซอยพัฒน์พงศ์ ถนนเจริญกรุงหน้าไปรษณีย์กลาง แล้วก็มาถนนราชดำเนินกลาง
เรื่องราวที่เขียนลงไปก็เกี่ยวกับความบันเทิงเริงรมย์เป็นส่วนใหญ่ ไม่เกี่ยวข้องกับการเมืองสักเท่าไรนักเพราะได้ยินเรื่องที่โรงพิมพ์ถูกชายฉกรรจ์บุกเข้าไปทุบแท่นพิมพ์ เนื่องจากข้อเขียนใช้เสรีภาพค่อนข้างจะสมบูรณ์ไปหน่อย
ส่วนใหญ่ข้าพเจ้าก็เขียนถึงนักร้อง สมัยนั้นนักร้องก็เป็นผู้หญิง ผู้ชายจะผ่านนักร้องอย่าง คุณสุเทพวงศ์กำแหง หรือ คุณชรินทร์ นันทนาคร ก็ยากแล้ว อีกประการหนึ่งการเขียนถึงนักร้องสาว ทำให้ข้าพเจ้ามีผลพลอยได้ คือ ได้เที่ยวไนท์คลับ ได้คุยกับนักร้องอันเป็นเอกสิทธิ์ที่ลูกค้าไนท์คลับ (ยกเว้นเสี่ยพวงมาลัย) ทำไม่ได้
ห้วงเวลานั้น ข้าพเจ้าออกเที่ยวทุกคืนกับนักข่าวบันเทิงรุ่นเธอะอีก 2 คน 2 ค่ายหนังสือพิมพ์ คือ คุณสำเริง เนาว์สัยศรี จาก "พิมพ์ไทย" และคุณสุธี มีศีลสัตย์ จาก "เดลินิวส์" ส่วนข้าพเจ้าในขณะนั้น"เสียงอ่างทอง" เปลี่ยนหัวเป็น "ไทยรัฐ" โดยมีคุณทองทศ ไวทยานนท์ เป็นบรรณาธิการ
การเขียนหนังสือของข้าพเจ้าวิวัฒนาการต่อไป จนถึงขั้นเล่า "นิทาน" เมื่อจะต้องเล่านิทานขึ้นมาด้วยการแปลจากคอลัมน์ "RIBALD CLASSIC" เพลย์บอย ข้าพเจ้าก็นึกถึงว่า นิทานของข้าพเจ้าเหมาะสมที่จะเล่าในตอนวิกาล และเป็นเวลานอน
คนเราเมื่อถึงเวลานอนแล้ว มักพูดว่า "หัวถึงหมอน" ข้าพเจ้าจึงตั้งชื่อคอลัมน์ว่า "นิทานข้างหมอน" และใช้คำขึ้นต้นเป็นเอกลักษณ์ของข้าพเจ้าทุกนิยายว่า "กิรดัง ได้ยินมา ตทากาเล...กาลครั้งหนึ่ง...นานมาแล้ว..."
"นิทานข้างหมอน" กลายเป็นคอลัมน์ฮิทอีกหนึ่งคอลัมน์ ซึ่งก็ไม่ใช่เพราะข้าพเจ้าเขียนหนังสือเก่ง แต่เป็นเพราะสมัยเดียวกันนั้น คุณประยูร จรรยาวงษ์ ราชาเขียนการ์ตูนล้อการเมืองดังที่สุด เขียนการ์ตูนประจำอยู่หนังสือพิมพ์ "สยามรัฐ" อาคารราชดำเนิน ท่านเป็นคนตั้งคติธรรมของท่าน และฮิทไปทั่วเมือง
"สัปดนวันละนิด จิตแจ่มใส"
นิทานของข้าพเจ้าจึงดังไม่เบา และข้าพเจ้าก็เขียนหลายเรื่อง จนจำไม่ได้ว่าเขียนเรื่องอะไรไปบ้าง สองวันก่อนนี้พบคนรุ่นเดียวกัน ท่านบอกผมว่าท่านชอบนิทานของผมมากโดยเฉพาะเรื่อง "หมาใหญ่กับหมาน้อย" ผมก็จำไม่ได้ ท่านก็เลยเมตตาเล่าทวนความให้ผมฟัง
"กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว...ยังมีชายหนุ่มคนหนึ่งชอบแวะไปกิ๊กสาวเป็นประจำทุกคืนที่บ้านหลังหนึ่งโดยมีรหัสสัญญาณลับเห่าเป็นเสียงหมาน้อยสามครั้ง ผู้หญิงก็จะเปิดประตูรับ"
"พฤติกรรมนี้ได้ถูกสะกดรอยตามโดยชายหนุ่มอีกคน หลังจากรู้รหัสลับแล้ว ในคืนต่อมาเขาก็รีบแจ้นล่วงหน้าไปเห่าเสียงหมาน้อยสามครั้ง และเข้าไปจัดการต่อในห้องกับความมืด"
"อีกประเดี๋ยวเดียว หน้าห้องมีเสียงหมาน้อยเห่า บ็อก บ็อก บ็อก สามครั้ง ชายหนุ่มลงจากเตียงแล้วก็ไปคำรามที่ประตู โฮ่ง โฮ่ง โฮ่ง..."
"ผลก็คือ หมาน้อย ถอยกรูดและหายวับไปแต่นั้น ไม่โผล่มาอีกเลย..."
เรื่องโดย : ไก่อ่อน
นิตยสาร 417 ฉบับเดือน สิงหาคม ปี 2549
คอลัมน์ Online : รุ่นนี้พอมีเหลือ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/57425