ขณะที่ผมกำลังพิมพ์ต้นฉบับนี้อยู่ เหลือเวลาอีกเพียง 5 วันเท่านั้น ก็จะถึงวันสุดท้ายของปี 2567 แล้ว ผมเชื่อว่าคนไทยที่มีอายุตั้งแต่ 30 กว่าปีขึ้นไป คงไม่มีใครเคยคาดหวัง ว่าจะมีเหตุการณ์ที่น่าภาคภูมิใจเช่นนี้เกิดขึ้น นั่นคือการที่ประเทศไทยของเรา เป็นประเทศที่มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามามากที่สุดในโลก และกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศไทยของพวกเรา ก็เป็นเมืองที่มีชาวต่างชาติเดินทางเข้ามาท่องเที่ยว เป็นจำนวนมากที่สุดในโลกเช่นเดียวกัน พัฒนาการดังกล่าวนี้ เกิดขึ้นได้ในระยะเวลาอันสั้น เพราะอิทธิพลของ “สื่อสังคม” ที่แพร่หลายไปทั่วโลก โดยเฉพาะในประเทศที่พัฒนาแล้ว แต่แก่นแท้ของความสำเร็จนี้ ย่อมจะต้องมาจากความสามารถของคนไทย และวัฒนธรรมอันล้ำค่าเรานี่แหละครับ
แต่ขณะที่เรากำลังปลาบปลื้มกับผลสำเร็จด้านการท่องเที่ยวนี้ อีกด้านหนึ่งก็ยังมีคนชั่ว ที่บ่อนทำลายชื่อเสียงของประเทศไทย และคนไทยด้วยกัน โดยการฉ้อโกง เอาเปรียบนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ตั้งแต่ย่างเท้าก้าวออกจากอาคารของสนามบินกันเลยทีเดียว ซึ่งก็คือ คนขับรถแทกซี และรถสามล้อเครื่อง หรือในชื่อ “รถตุ๊กๆ” นี่แหละครับ ท่านผู้อ่านจำนวนหนึ่ง ที่ไม่ได้มีโอกาส “สัมผัส” คนพวกนี้โดยตรง อาจจะเริ่มค้านในใจแล้วว่า ไม่น่าจะใช่นะ เพราะไม่ค่อยได้เห็นเป็นข่าวเลย เท่าที่ได้รับรู้ มักจะเป็นข่าวดี มีแต่คลิพที่ล้วนชมเชย สรรเสริญความซื่อตรงของคนไทยกันทั้งนั้น มันมีสาเหตุที่เป็นเช่นนี้ ลองจินตนาการภาพของนักถ่ายทำคลิพพวกนี้ดูครับ เขาจะมีความเชื่อมั่นในตัวเองค่อนข้างสูง ทั้งโดยบุคลิกส่วนตัว และจากการมีประสบการณ์จากการท่องเที่ยวในต่างแดน ถือกล้องถ่ายวีดีโอในท่าเตรียมพร้อม ที่จะถ่ายเหตุการณ์ตรงหน้าได้ทันที เพราะฉะนั้นเดนมนุษย์สันดานโกง สัญชาติไทยพวกนี้ มันรู้ว่าไม่ง่าย และจะไม่เสี่ยงหรอกครับ ทางเลือกของพวกมันจึงมีอยู่สองทาง คือ ยอมให้บริการแบบ “ไม่โกง” ไปตามปกติ หรือไม่ก็จะเลี่ยง โดยอ้าง “ความไม่พร้อม” อย่างใดอย่างหนึ่ง แล้วรอนักท่องเที่ยวปก
ติทั่วไปที่โชคร้าย ไม่มีทางเลี่ยง หรือทางเลือกอื่น โดยจะถูกพวกมันโก่งราคาไม่ต่ำกว่าสองเท่าของราคาปกติ
เชื่อไหมครับว่าโจรในคราบคนขับรถแทกซีพวกนี้ มันเคยเรียกค่าโดยสารต่อชาวต่างชาติ 4 คน จากงานแสดงสินค้าที่ “เมืองทองธานี” ย่านแจ้งวัฒนะ มายังสี่แยกราชประสงค์ ในราคา 4,000 (พิมพ์ไม่ผิดครับ สี่พัน) บาทมาแล้ว เท่าที่ผมพยายามหาข้อมูลในเรื่องนี้ มาเป็นเวลานานพอสมควร มีนักท่องเที่ยวจำนวนมาก ที่ถูกพวกมันเอาเปรียบ หรือโกงซึ่งๆ หน้า และไม่ทราบว่าจะไปเรียกร้องขอความเป็นธรรมต่อผู้ใด หรือหน่วยงานใด เกือบทุกคนซึ่งแน่นอนว่ามีจำนวนเรือนหมื่น ต้องทนเก็บความคับแค้นนี้เอาไว้ ทำได้เพียงหาโอกาสถ่ายทอดเรื่องราวอันชั่วร้ายนี้ ให้แก่เพื่อนฝูง ญาติสนิท หรือคนที่รู้จัก เท่าที่โอกาสจะอำนวย ลองจินตนาการกันดูนะครับ ว่าประเทศไทยของเรา จะต้องได้รับความเสียหาย ทั้งทางตรง และทางอ้อมในระดับไหน การแก้ไข และป้องกัน มันยากเย็นขนาดที่ไม่มีใครแก้ปัญหานี้ได้มาหลายสิบปีแล้วจริงหรือ ผมไม่เชื่อครับ
ถ้าผมจำไม่ผิด น่าจะเป็นช่วงเดือนกรกฎาคมของปีที่แล้ว ที่ผมได้นำข่าวการเตรียมอนุญาต ให้มีการนำเข้ารถยนต์ “คลาสสิค” เข้ามาในราชอาณาจักร ตามกฎเกณฑ์ และเงื่อนไขประกอบ ซึ่งยังมิได้มีการประกาศอย่างเป็นทางการ นัยว่าจะเกิดขึ้นภายในไม่เกินปลายปีที่ผ่านมา แต่เรื่องกลับเงียบหายไปเลยครับ จากการสอบถามผู้ที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้ในกรมการขนส่งทางบก อย่างไม่เป็นทางการ ได้ความว่าเรื่องนี้หยุดชะงัก เพราะบังเอิญมี “เรื่องใหญ่ หรือเรื่องร้อน” เข้ามาแทรก จนเจ้าหน้าที่ต้องหันไปแก้ปัญหาเฉพาะหน้ากันอย่างด่วนที่สุด เพราะเป็นความบกพร่องชนิดที่แก้ตัวไม่หลุด และอยู่ในความสนใจของประชาชนทั้งประเทศ ซึ่งก็ควรจะเป็นเช่นนั้น เพราะความสูญเสียต่อชีวิตของนักเรียน และครูผู้บริสุทธิ์ในจำนวนมากเช่นนี้ จากการถูกไฟคลอกในรถโดยสาร ที่ถูกอนุญาตให้นำมาใช้งาน ทั้งๆ ที่มีความบกพร่องของระบบจ่ายเชื้อเพลิง เป็นเรื่องคอขาดบาดตาย และต้องนำตัวผู้รับผิดชอบ มารับโทษตามกฎหมายต่อไป และหากจัดการกับเรื่องนี้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็น่าจะดำเนินการนำเสนอขออนุมัติต่อคณะรัฐมนตรี เพื่อจะได้ประกาศใช้อย่างเป็นทางการเสียทีครับ ข่าวคราวที่ถูกปล่อยออกมา เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว ทั้งโดยการคาดเดาทึกทักเอาเอง หรือจากเจตนาแอบแฝง มีวาระซ่อนเร้น หวังเบี่ยงเบนให้เกิดการเข้าใจผิดไปในหลายทิศทาง จะได้หมดสิ้นไปเสียทีครับ
บทความแนะนำ