ชีวิตอิสระ(4wheels)
ห้วยแม่ขมิ้น
ท่องเที่ยวสบายๆ สไตล์ครอบครัว ในฤดูฝนอย่างเต็มตัว...ฝนมาทีไร คนกรุงอย่างเราต้องลำบากไปตามๆ กัน รถติดเป็นชั่วโมงยังไม่พอ น้ำในท่อยังเอ่อล้นมาท่วมซ้ำอีก แต่ในฤดูฝนเดียวกันนี้แหละ ป่าเขาลำเนาไพร ต้นไม้กำลังผลิใบอ่อนเขียวสดไปทั้งป่า ดอกไม้แทงช่อโผล่ออกมาดูโลกสดใส น้ำตกไหลแรงชวนให้ตื่นตาตื่นใจ ไม่มีฤดูไหนที่จะมีชีวิตชีวาเท่ากับฤดูนี้อีกแล้ว...คำว่า "เที่ยว" ตามพจนานุกรมแปลว่า "เตร็ดเตร่ไปเพื่อหาความสนุกเพลิดเพลินตามที่ต่างๆ" จะใช้คู่กับคำว่า "ท่อง" ซึ่งแปลว่า "ทำซ้ำๆ เพื่อให้จำได้" และจะนำหน้าด้วยคำว่า "การ" แปลว่า "กิจ, งาน, หน้าที่, ธุระ, สิ่ง หรือเรื่องที่ต้องทำ" ถ้านำมารวมกัน คือ "การท่องเที่ยว" น่าจะแปลว่า "หน้าที่หาความสนุกเพลิดเพลินตามสถานที่ต่างๆ และต้องทำบ่อยๆ ด้วย"...เขียนมาซะยืดยาว จริงๆ แล้วจะชวนไปเที่ยวน่ะ...ทริพนี้เราจะมุ่งหน้าไปทางตะวันตก จบลงตรงเมืองกาญจน์ที่น้ำตกห้วยแม่ขมิ้นกัน
ปฐมบทของการเดินทาง
กาญจนบุรี เป็นจังหวัดในภาคกลางทางทิศตะวันตก ที่มีผู้นิยมเดินทางมาท่องเที่ยวเป็นจำนวนมากจังหวัดหนึ่ง เพราะเต็มไปด้วยเรื่องราวในอดีตที่น่าสนใจ เป็นแหล่งอารยธรรมเก่าแก่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ เป็นสถานที่ตั้งของสะพานข้ามแม่น้ำแคว ซึ่งเป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ของไทยในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก นอกจากนี้ ยังมีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ ไม่ว่าจะเป็นป่าเขาลำเนาไพร ถ้ำ และน้ำตกอีกมากมาย
จากกรุงเทพ ฯ มาเมืองกาญจน์ นี่ไม่ไกลเลย แค่ร้อยกว่า กม. เอง แต่จากเมืองกาญจน์ไปยังสถานที่ท่องเที่ยวแต่ละอำเภอนี่สิไกลมากเลย...ผมขับรถมาถึงแถวๆ พุทธมณฑล (ทางหลวงหมายเลข 338 ) ข้างทางเต็มไปด้วยร้านขายเป็ดพะโล้ ไก่ต้มน้ำปลา กันเป็นทิวแถว ขึ้นสะพานข้ามแยกวนมาบรรจบกับถนนเพชรเกษม (ทางหลวงหมายเลข 4) ขับแบบสบายๆ พักเดียวก็ถึงนครปฐม...เลยตัวเมืองนครปฐมมา 18 กม. ถึง อ. บ้านโป่ง แล้วเข้าสู่ จ. กาญจนบุรี ที่ อ. ท่ามะกา ผ่าน อ.ท่าม่วง จนถึง อ. เมือง ตามทางหลวงหมายเลข 323 เมื่อตอนที่พระอาทิตย์ทำงานไปแล้วระยะหนึ่ง
ส่วนมากนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวเมืองกาญจน์ มักจะใช้ตัวอำเภอเป็นที่พักรถ เพื่อหาอะไรรองท้อง หาซื้อเสบียง และเติมน้ำมันกันให้เต็มถัง แล้วก็เดินทางไปยังสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ กันต่อไป สถานที่แรกที่ผมจะพาไปชมนั้น ไม่ค่อยมีใครสนใจจะไปชมเท่าที่ควร ดูจากไม่มีร้านค้าหรือสิ่งอำนวยความสะดวกอยู่เลย เหมาะสำหรับผู้ที่สนใจต้นไม้เสียมากกว่า คือ "ต้นจามจุรียักษ์" อยู่บนเส้นทางไป อ. ด่านมะขามเตี้ย โดยตั้งต้นที่หน้าศาลากลางจังหวัด แล้วมาตามถนนแม่น้ำแม่กลอง พูดง่ายๆ ก่อนเข้าตัวเมืองไฟแดงที่ 2 มาตามถนนประมาณ 5 กม. จะผ่าน "วัดถ้ำมังกรทอง" หรือเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายเกี่ยวกับการทำสมาธิลอยตัวในน้ำนั่นแหละ เลยจากวัดถ้ำมังกรไปประมาณ 3 กม.ก็จะถึง (ถามทางชาวบ้านแถวนั้นได้) ต้นจามจุรียักษ์ มีอายุมากกว่า 100 ปี มีรัศมีของทรงพุ่มเฉลี่ย 25.87 เมตร มีเส้นผ่าศูนย์กลางของร่มเงาประมาณ 51.17 เมตร ความสูงเรือนยอด 20 เมตร กล่าวคือ มีพื้นที่ของพุ่มประมาณหนึ่งไร่เศษ แผ่กิ่งก้านสาขาใหญ่โตสวยงามมาก ซึ่งในปัจจุบันหาชมต้นไม้ขนาดใหญ่อย่างนี้ได้ยากแล้ว
สู่เมืองกาญจน์...ป่าตะวันตก
หลังจากอิ่มเอมกับความมหัศจรรย์ของต้นจามจุรียักษ์แล้ว เราก็ย้อนกลับมาทางตัวเมือง เพื่อมุ่งหน้าสู่จุดหมายปลายทางของเราต่อไป
ในตัวเมืองกาญจน์ก็มีสถานที่เที่ยวที่เรามิอาจจะพลาดไปได้ ที่แรกคือ "สุสานทหารสัมพันธมิตรดอนรัก" ตั้งอยู่ริมถนนแสงชูโต (ทล. 323) สุสานแห่งนี้เป็นสุสานของเชลยศึกสัมพันธมิตรที่เสียชีวิตในระหว่างการสร้างทางรถไฟสายมรณะ บริเวณสุสานมีเนื้อที่กว้างขวาง สวยงาม และเงียบสงบ ชวนให้รำลึกถึงเหตุการณ์การสู้รบ และผลลัพธ์ที่ตามมา สุสานแห่งนี้บรรจุศพทหารเชลยศึกถึง 6,982 หลุม และแน่นอน สถานที่ที่สองคือ "สะพานข้ามแม่น้ำแคว" ไม่รู้เป็นอะไร มาทีไรเป็นต้องแวะทุกทีไป...ตามถนนสายเดิม ขึ้นไปทางทิศเหนือประมาณ 4 กม. แยกซ้ายเข้าไปอีก 400 เมตร มีป้ายชี้บอกทางไว้ชัดเจน เป็นสถานที่ทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญยิ่งแห่งหนึ่ง สร้างขึ้นสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยกองทัพญี่ปุ่นได้เกณฑ์เชลยศึกฝ่ายสัมพันธมิตร ได้แก่ ทหารอังกฤษ อเมริกัน ออสเตรเลีย ฮอลันดา และนิวซีแลนด์ ประมาณ 61,700 คน และกรรมกรชาวจีน ญวน มลายู ไทย พม่า อินเดีย อีกจำนวนมาก มาก่อสร้างทางรถไฟสายยุทธศาสตร์ เพื่อเป็นเส้นทางผ่านไปสู่ประเทศพม่า ซึ่งเส้นทางช่วงหนึ่งจะต้องข้ามแม่น้ำแควใหญ่ จึงต้องมีการสร้างสะพานขึ้น การสร้างสะพานและทางรถไฟสายนี้ เต็มไปด้วยความยากลำบาก ความทารุณของสงคราม และโรคภัยไข้เจ็บ ตลอดจนการขาดแคลนอาหาร ทำให้เชลยศึกหลายหมื่นคนต้องเสียชีวิตลง
เราออกจากตัวเมือง มุ่งหน้าเข้าสู่ทางหลวงหมายเลข 3199 หลักกิโลเมตรบอกอีก 31 กม. จะถึง "อุทยานแห่งชาติเอราวัณ" เราผ่านเขื่อนท่าทุ่งนา รถไต่ขึ้นเขาวิ่งเลียบเขื่อนไปสักพัก ก็ลงมาวิ่งบนทางราบเหมือนเดิม ทางซ้ายมีป้ายบอกน้ำตกเอราวัณและเขื่อนศรีนครินทร์ ไปทางเดียวกัน จะตรงไปชมเขื่อนก่อนก็ได้นะ แต่ผมเลี้ยวซ้ายข้ามสะพานไปยังอีกฝั่งของแควใหญ่ มุ่งหน้าสู่อุทยาน ฯ ซึ่งอยู่ห่างออกไปอีก 2 กม.
"อุทยานแห่งชาติเอราวัณ" เดิมมีชื่อว่า "อุทยานแห่งชาติเขาสลอบ" ประกาศเป็นเขตอุทยาน ฯ เมื่อวันที่ 19 มิย. 2518 มีเนื้อที่ 343,735 ไร่ ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น "อุทยานแห่งชาติเอราวัณ" เนื่องจากชั้นบนสุดของน้ำตกมีลักษณะคล้ายกับหัวช้างเอราวัณ
"น้ำตกเอราวัณ" เป็นน้ำตกที่ใหญ่และสวยงาม มีความยาว 1,500 เมตร มีทั้งหมด 7 ชั้น แต่ละชั้นมีแอ่งน้ำสามารถลงเล่นน้ำได้ และยังมีเส้นทางศึกษาธรรมชาติ ระยะทาง 1,060 เมตร ใช้เวลาประมาณ 30 นาที ผ่านป่าดิบเขา จุดชมวิว และป่าผลัดใบที่สวยงาม ในบริเวณอุทยาน ฯ มีบ้านพักและสถานที่กางเทนท์ด้วย
แต่การเดินทางของเรายังไม่สิ้นสุด เราย้อนออกมาที่ทางเดิม เลี้ยวซ้ายไปตามป้ายบอกทางไป "ถ้ำพระธาตุ"ต่อจากนี้จะเป็นทางของพวกเรากันแล้ว...เราเปลี่ยนระบบขับเคลื่อนจาก 2H เป็น 4H ตั้งแต่จุดนี้เป็นต้นไป ผ่านมา 10กม. ซ้ายมือมีป้ายบอกทางไปถ้ำพระธาตุ เหลือบมองดูเวลาแล้วเราจึงได้แต่ฝากไว้ก่อนไว้วันหลังจะมาใหม่...ผ่านถ้ำพระธาตุผมเริ่มนับหลัก กม. เราผ่านบ้านพุตะกา ผ่านบ้านปลายดินสอ ตรงหลัก กม. ที่ 8 ทางเลาะเลียบทะเลสาบเขื่อนศรีนครินทร์ไปเรื่อยๆ มองเห็นเกาะน้อยใหญ่ ช่างสวยงามดีแท้...กม. ที่ 14ถึงด่านตรวจของหน่วยพิทักษ์อุทยาน ฯ ศรีนครินทร์ที่ ศร. 1 (แม่กว้า) ผมลงไปเซ็นชื่อ จากจุดนี้เหลืออีก 20 กม. จะถึงน้ำตกห้วยแม่ขมิ้น ฝนเริ่มตกลงมาแล้วผ่าน รร. บ้านต้นมะพร้าว หลัก กม. ที่ 24 ฝนตกหนักมากขึ้น ทำให้ถนนมีความลื่นมากขึ้นตามไปด้วย ผ่านบ้านน้ำมุด ถึงบ้านพุชะนี ฝนเริ่มซาลงแล้ว...กม. ที่ 33 เราถึงป้อมทางด้านล่างของอุทยาน ฯ ส่วนที่ทำการ ฯ ต้องขับเลี้ยวซ้ายขึ้นเนินไปอีกตามป้ายบอก ซึ่งจะอยู่ตรงกับชั้นที่ 4 ของน้ำตกห้วยแม่ขมิ้นพอดี และที่ตรงนี้แหละ คือสวรรค์ของเรา เพราะเป็นที่รวมความต้องการของเรา ไม่ว่าจะเป็นลานกางเทนท์โล่ง มองเห็นทะเลสาบอันกว้างใหญ่ ร้านอาหาร ห้องน้ำที่แสนจะสะอาด เราไม่ต้องการอะไรไปมากกว่านี้อีกแล้ว...สวรรค์แท้ๆ...
"น้ำตกห้วยแม่ขมิ้น" ตั้งอยู่บริเวณที่ทำการอุทยาน ฯ ริมทะเลสาบเขื่อนศรีนครินทร์ รวมระยะทางจากตัวเมืองกาญจน์ประมาณ 108 กม. น้ำตกห้วยแม่ขมิ้น มีความสวยงามเป็นอย่างยิ่ง ทั่วบริเวณร่มรื่นด้วยพันธุ์ไม้ป่านานาชนิด น้ำตกไหลมาจากต้นน้ำของเทือกเขากะลา ซึ่งเป็นป่าดิบเขาแล้งทางทิศตะวันออกของอุทยาน ฯ ไหลผ่านป่าเขา ตกลงมาเป็นน้ำตกถึง 7 ชั้น มีชื่อเรียกแต่ละชั้น เริ่มตั้งแต่ ชั้นที่ 1 "ดงว่าน" ชั้นที่ 2 "ม่านขมิ้น" ชั้นที่ 3 "วังหน้าผา" ชั้นที่ 4 "ฉัตรแก้ว" ซึ่งเป็นชั้นที่ลงความเห็นกันว่าสวยที่สุด ชั้นที่ 5 "ไหลจนหลง" ชั้นที่ 6 "ดงผีเสื้อ" ชั้นที่ 7 "ร่มเกล้า" และไหลลงสู่อ่างเก็บน้ำของเขื่อนศรีนครินทร์ แต่ละชั้นมีความสูงและความงามต่างกันไป ทางอุทยาน ฯ ได้ทำทางเดินสำหรับชมน้ำตกแต่ละชั้น และยังเป็นเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติอีกด้วย
เป็นยังไงกันบ้างครับทริพนี้ของเรา มีวันหยุดแค่เสาร์ อาทิตย์ ก็ได้ "ท่องเที่ยวแบบสบายๆ สไตล์ครอบครัว" ตามโพรแกรมนี้อย่างมีความสุขและสนุกสนานกันแล้ว
บรรยายภาพ
1. ความใหญ่โตมโหฬารของต้นจามจุรียักษ์ ชวนให้ตื่นตาตื่นใจอย่างยิ่ง
2. เส้นสายและลีลากิ่งก้านสาขาของต้นจามจุรียักษ์
3. ป้ายก็บอกอยู่แล้วว่าเราถึงน้ำตกห้วยแม่ขมิ้นแล้ว
4. ช่วงหนึ่งของสภาพเส้นทางสู่น้ำตก
5. "ฉัตรแก้ว" ชั้นที่ 4 ของน้ำตกห้วยแม่ขมิ้น เป็นชั้นที่สวยที่สุด อยู่ใกล้บริเวณลานกางเทนท์ เรียกว่า โผล่ออกมาจากเทนท์ ก็เห็นน้ำตกแล้ว
6. ลานกางเทนท์พักแรมที่แสนจะร่มรื่นและสะดวกสบาย
7. มองจากลานกางเทนท์จะเห็นทะเลสาบของเขื่อนศรีนครินทร์อันกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา
8. ชั้นบนๆของน้ำตกที่ไหลผ่านป่ารกทึบ ก่อนจะไหลลงสู่อ่างเก็บน้ำ
เรื่องโดย : กองบรรณาธิการ
ภาพโดย : -
นิตยสาร 417 ฉบับเดือน มีนาคม ปี 2546
คอลัมน์ Online : ชีวิตอิสระ(4wheels)
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/55971