ใส่สีใส่สัน
บอลลีวูด
ถ้ากล่าวถึงเมือง "มายา" สหรัฐอเมริกามีเมือง ฮอลลีวูด ผลิตภาพยนตร์ออกฉายทั่วโลก อินเดียก็มีเมืองบอลลีวูด (BOLLYWOOD) เหมือนกัน ผลิตภาพยนตร์อินเดียออกฉายทั่วอินเดีย และยินดีขายให้กับทุกประเทศที่อยากซื้อ
บอลลีวูด จะเกิดแต่ปีใดก็ไม่ทราบได้ แต่ผมมาทราบนิคเนมนี้ก็เมื่อได้มีโอกาสไปเมืองบอมเบย์ เมื่อปี 2003 ขณะนั้นอุตสาหกรรมภาพยนตร์ของอินเดียคงต้องมีระดับผลงานเป็นเพชรน้ำเอกเหมือนกัน เพราะมีโอกาสเข้าขั้นถึงการประกวดในงานประกวดภาพยนตร์ประจำปีที่เมืองคานส์ ฝรั่งเศส
แต่ภาพยนตร์อินเดียสมัยเมื่อ 40-50 ปีก่อนนี้ คนไทยรู้จัก และเรียกกันว่าหนังแขกส่วนโรงหนังในกรุงเทพ ฯ ที่ฉายหนังแขกล้วนๆ ก็อยู่ในตรอกแปลงนาม อันเป็นซอยเล็กในย่านสามแยกเจริญกรุง ใกล้กับโรงหนังบรอดเวย์ และศาลาเฉลิมบุรีเรียกว่าโรงหนังเทกซัส
นางเอกหนังแขกที่จำได้แม่นยำกว่าใครๆ ก็เห็นจะเป็น นีรูปารอย/มีนากุมารี และมุมตัส ส่วนพระเอกก็มี อโศก กุมาร/ราช กุมาร และ สุนิล ดัตต์ ส่วนผู้สร้างคนสำคัญที่จำได้มี เมห์บูบ ขาห์น ผู้สร้างภาพยนตร์อินเดียที่ยิ่งใหญ่ ที่เก็บเงินคนไทยในสมัยนั้นไปหลายบาท และได้เข้าฉายถึงศาลาเฉลิมกรุง มีชื่อว่า "ธรณีกรรแสง"หรือ MOTHER INDIA สร้างในปี 1957
"ธรณีกรรแสง" เป็นหนังชีวิต ในสมัยนั้นหนังแขกส่วนใหญ่เป็นหนังชีวิตมากกว่าเรื่อง พระรามพระลักษณ์ และหนุมาน เป็นผลงานจากโรงถ่ายเมห์บูบ โดยผู้สร้าง และผู้กำกับคือ เมห์บูบ ขาห์น ดาราที่แสดงนำมี นาร์จิส/สุนิล ดัตต์/ราช กุมาร/ราเชนดรา กุมาร และ ศีตลาเทวี
สมัยนั้นหนังแขกเรื่องนี้เข้ามาเมืองไทยนานพอสมควร ยังไม่มีโรงฉาย จนกระทั่งศาลาเฉลิมกรุงจัดวันเข้าฉายให้ มีการเลือกชื่อเพื่อตั้งเป็นภาษาไทย ในที่สุดเลือกเอาคำว่า "ธรณีกรรแสง" ได้รับการทักท้วงจากหลายกลุ่มว่าไม่เป็นมงคล สงสัยเจ๊ง
ที่ไหนได้กลับโกยเงินเป็นกอบเป็นกำ ฉายอยู่เป็นเดือนไม่ยอมให้หนังเรื่องอื่นเข้าฉายเลย
เนื้อหาไม่มีอะไรมาก เป็นเรื่องของชาวนาคนหนึ่งได้รับอุบัติเหตุเสียแขนสองข้างตัดสินใจทิ้งครอบครัวของตนเพราะไม่ต้องการสู้หน้าให้คนอื่นเหยียดหยามดูหมิ่นดูแคลนว่าไม่สามารถช่วยตนเองได้ ต้องเป็นภาระแก่คนอื่น
เมื่อครอบครัวขาดผู้นำ เหลือแต่คนที่เป็นแม่ และแม่คนนี้แหละที่สวมบทไทเทิลคือ "แม่ของอินเดีย" ต้องทำหน้าที่เลี้ยงครอบครัวดูแลลูกชายที่ยังเล็กอีก 2 คน ในเวลาที่อินเดียกำลังข้าวยากหมากแพง เกิดวิกฤติแก่ชาวนาทั้งหลาย
แต่แม่ก็ทำหน้าที่ได้ดี เลี้ยงลูกจนเติบใหญ่ คนหนึ่งลุกขึ้นจับปืนกลายเป็นโจร เพราะทนสู้ความแร้นแค้นของชีวิตเช่นมารดาไม่ได้ ในขณะที่ลูกชายของนางอีกคนเป็นผู้รักษากฎหมาย
ตอนจบของเรื่อง คนที่เป็นแม่จำใจต้องยิงลูกชายที่เป็นโจรด้วยมือตนเองซึ่งเป็นการทำหน้าที่ของความเป็นแม่ครั้งสุดท้าย
คนไทยที่ดูหนังเรื่องนี้ ร้องไห้กันกระจองอแงทุกรอบที่ฉาย สมกับชื่อเรื่องภาษาไทยที่ตั้งมาว่า "ธรณีกรรแสง" เพลงโอดเพลงเดียว ไม่มีเพลงอื่น
คนอินเดียก็ชื่นชมภาพยนตร์เรื่องนี้ เทียบเท่าภาพยนตร์ชิ้นคลาสสิคของฮอลลีวูดคือ "วิมานลอย" หรือ GONE WITH THE WIND ซึ่งมีทั้ง รัก โลภ โกรธ หลงสมบูรณ์ด้วยการต่อสู้ของสงครามชีวิต เช่นหนังชีวิตทั่วไป
ชีวิตในจอของคนที่เป็น "MOTHER INDIA" และการต่อสู้ของนางไม่ผิดอะไรกับชีวิตต้องสู้ของ สการ์เลท โอฮารา (แสดงโดย วิเวียน ลีห์) ในเรื่อง "วิมานลอย"ของบริษัทเมโทร-โกลด์วิน-เมเจอร์ ต่างกันในรายละเอียด โดยเฉพาะการเลี้ยงดูลูกชายทั้งสองคน
ความจริงภาพยนตร์อินเดียที่เข้ามาฉายในเมืองไทย มีเรื่องคล้ายกับเรื่องนี้มากต่อมาก โดยเฉพาะเรื่อง "คงคา-ยมนา" ดูจะมีส่วนคล้ายมากที่สุด แต่ก็ไม่มีเรื่องใดคลาสสิค และเป็นอมตะเท่ากับ "ธรณีกรรแสง"
แม้จะน้ำเน่าเพราะมารดามีลูกชายสองคน แตกต่างกันเหมือนผ้าสีขาวกับผ้าสีดำคนหนึ่งเป็นโจรนอกกฎหมาย อีกคนเป็นผู้รักษากฎหมายตามหน้าที่ แต่การแสดงของคนที่เป็นแม่ คนที่เป็นลูก มีส่วนทำให้คนดูหนังลืมคิดถึงความเป็นน้ำเน่า
เอาแต่ร้องไห้กันทุกรอบ พ่อก็ดู แม่ก็ดู คนที่รักกันใหม่ๆ ก็ไปดูเหมือนคนที่แต่งงานกันหมาดๆก็ต้องไปดูไปแย่งกันร้องไห้
เป็นความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ของนักแสดงที่ชื่อ นาร์จิส ผู้รับบทเป็นแม่ ขณะที่รับบทนี้ นาร์จิส มีอายุน้อยกว่าแม่ในเรื่องเป็นสองเท่า ฉากไฟไหม้เป็นเหตุให้ นาร์จิสต้องได้รับการปฐมพยาบาล ในขณะที่รางวัลยิ่งใหญ่ในชีวิตของเธอก็คือ หลังจากนี้ไม่นาน นาร์จิส ก็แต่งงานกับ สุนิล ดัตต์ นักแสดงฝ่ายชายที่แสดงเป็นลูกชายคนหนึ่งของเธอ และเป็นคนสวมบทบาทที่ทำให้มีฉากไฟไหม้จนเกิดอุบัติเหตุ
นอกจาก นาร์จิส แล้ว ความสำเร็จจากการแสดงยังตกทอดไปถึงนักแสดงคนอื่น เช่น สุนิล ดัตต์ ลูกชายของแม่ที่เป็นโจร ขณะ ราเชนดรา กุมาร รับบทเป็นลูกชายฝ่ายคนดี
ส่วน ราช กุมาร มีบทเล็กน้อย เพราะได้บทเป็นพ่อผู้เสียแขนสองข้าง
กันไฮ ผู้รับบทเป็นเจ้าหนี้เงินกู้ เล่นบทเหี้ยม ดอกเบี้ยโหด ได้อย่างถึงอกถึงใจจนได้รับการถ่มน้ำลายจากคนดูเมื่อได้เห็นการแสดงของเขาในจอ
"ธรณีกรรแสง" เป็นหนังแขกที่เก็บเงินรายได้มากมายซึ่งต่อมาในอินเดียเองก็มีเรื่องประเภทเดียวกันนี้ตามมาอีก แต่ไม่ดังเท่า รวมทั้ง "SON OF INDIA"
หนังแขกที่ดังๆ ในเมืองไทยมีไม่กี่เรื่อง ดังมากที่สุดถัดมาก็เป็น "ช้างเพื่อนแก้ว"พ่อค้าหนังแขกในเมืองไทยผมรู้จักไม่เท่าคุณสุดาจันทร์ ซึ่งเป็นแม่ค้าและเคยใช้งานฝ่ายโฆษณากับผม เวลารับปากเรื่องหนึ่งผมก็ต้องเสียเวลาไปนั่งดูหนังแขก ฉายทีละม้วนไม่ต่ำกว่า 24 ม้วนกว่าจะจบเรื่อง ต้องตัดต่อใหม่ทุกเรื่อง เหตุหนึ่งที่ทำให้ยาวมากก็คือ หนังแขกมีการเต้นยอะ ร้องเพลงแยะ เนื้อหามีไม่เท่าไร
วันนี้ อุตสาหกรรมภาพยนตร์ของอินเดียก้าวหน้า และพัฒนาไปมาก นางเอกก็สวยตาคมยิ่งกว่านางงามจักรวาล หรือยิ่งกว่า "เบนซ์-พรชิตา"
เรื่องโดย : จอสยาม
นิตยสาร 409 ฉบับเดือน สิงหาคม ปี 2548
คอลัมน์ Online : ใส่สีใส่สัน
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/54738