เทคนิค(car)
PASSIVE RADIATOR
ผู้ที่เล่นเครื่องเสียงรถยนต์หลายๆ คน ตอนวัยรุ่นมักเริ่มต้นจากการที่นำเอาเครื่องเสียงบ้านของพ่อแม่มาลองวางใส่ในด้านหลังของรถ แล้วลองเปิดฟัง ทดลองดูหลายๆ รูปแบบถ้าที่บ้านของคุณชอบเล่นเครื่องเสียงบ้านเป็นระดับมืออาชีพด้วยแล้ว คุณก็อาจเป็นคนหนึ่งที่ก้าวไปบนเส้นทางเครื่องเสียงนี้ได้อย่างรวดเร็ว
อย่างตู้ลำโพงก็มีมากมายหลายแบบให้เลือก ตั้งแต่ตู้แบบซีล (SEALED) ตู้แบบพอร์ท (PORTED) หรือแม้แต่ตู้แบบ PASSIVE RADIATOR มันแตกต่างกันอย่างไร ?
ตู้แบบซีล หรือพอร์ทนั้น เชื่อว่าคุณคงจะรู้จักมาบ้างแล้วก่อนหน้านี้ แต่สำหรับ PASSIVE RADIATOR หรือเรียกสั้นๆ ว่า PR หลายคนที่อ่านคงอยากจะรู้ว่ามันคืออะไร มีลักษณะเป็นอย่างไร และเราจะใช้ประโยชน์อะไรจากมันได้บ้าง
จริงๆ แล้ว PR มีความสัมพันธ์โดยตรงมาจากเครื่องเสียงบ้าน ในขณะที่เครื่องเสียงรถยนต์นั้นไม่ค่อยจะประสบความสำเร็จเท่าที่ควร แต่ถึงอย่างไรก็ตาม มีผู้ผลิตเครื่องเสียงรถยนต์รายใหญ่ 2 รายคือ BOSTON ACOUSTICS และ EARTHQUAKE ที่กลับมาสร้างความเคลื่อนไหวกับการนำเอา PR มาใช้กับเครื่องเสียงรถยนต์ โดยการเก็บสะสมประสบการณ์จากเครื่องเสียงบ้านมาสู่เครื่องเสียงรถยนต์
PASSIVE RADIATOR บ่อยครั้งที่เข้าใจว่ามันคือ ซับวูเฟอร์ทั่วไป แต่ในความเป็นจริงแล้วมันไม่ใช่ซับวูเฟอร์ เพียงแต่มันดูเหมือน และทำงานเหมือนกับซับวูเฟอร์ทั่วไป เมื่อมองดูจากภายนอกของลำโพง แล้วอะไรที่สามารถบอกถึงความแตกต่างระหว่างซับวูเฟอร์กับ PASSIVE RADIATOR ได้
กุญแจที่สามารถไขปริศนาบอกความแตกต่างได้ ว่ามันไม่ใช่ซับวูเฟอร์ นั่นก็คือโครงสร้างมอเตอร์ พูดให้ชัดๆ นั่นก็คือ PASSIVE RADIATOR มันไม่มีวอยศ์คอยล์ แม่เหล็ก ทอพเพลท ที-โยค ขั้วทินเซล หรือเทอร์มินัล เป็นลำโพงที่ไม่มีเพาเวอร์ในตัวเอง ดังนั้นมันต้องทำงานควบคู่กับวูเฟอร์ที่มีกำลังในตู้ซีล
ระบบ PASSIVE RADIATOR มักอ้างอิงในลักษณะของตู้พอร์ทแบบต่างๆ ในขณะที่มันต้องมีความสมดุลทางคณิตศาสตร์ ใช้ไดอแฟรมทำงานที่ช่องพอร์ท ซึ่งจะขาดชิ้นส่วนหลักๆ 2 ชิ้นไม่ได้ นั่นก็คือ WEIGHTED DIAPHRAGM และ SPRING โดยที่ WEIGHTED DIAPHRAGM ก็คือส่วนที่ต้องเลือกวัสดุอย่างพิถีพิถันมาใช้ในการออกแบบ เพื่อให้มันทำงานได้อย่างเหมาะสม โดยน้ำหนักของไดอแฟรมจะมีผลต่อความถี่กำธร ซึ่งมีผลต่อการปรับคลื่นความถี่ของตู้ ส่วน SPRING จะเป็นการผสมผสานระหว่างความแข็งของวัสดุ ที่จะนำมาเป็นส่วนซัสเปนชัน และทำหน้าที่ดักอากาศไว้ให้อยู่ในตู้ ซึ่งก็เป็นอีกส่วนที่สามารถปรับคลื่นความถี่ของตู้ได้ เช่นเดียวกับปริมาตรของตู้ VENTED ที่เมื่อปริมาตรเปลี่ยน ก็จะมีผลต่อการตอบสนองความถี่ตามไปด้วย
PASSIVE RADIATOR นั้นสามารถปรับความถี่ได้โดยการเพิ่มโหลด เพื่อให้เกิดความถี่กำธรในช่วงต่ำกว่าช่วงตอบสนองความถี่ของวูเฟอร์ มีช่วงใช้งานประมาณ 1/4 ออคเทฟเหนือและใต้ช่วงกำธร แต่มันจะขับความถี่ออกมาได้ดีในช่วงขึ้น18 เดซิเบล/ออคเทฟ
การรวมเอาการตอบสนองของวูเฟอร์เข้ากับ PASSIVE RADIATOR ควรจะทำให้เกิดช่วงต่อเบสส์อีกประมาณ 1/2 ออคเทฟ จากระดับความถี่เดิมของวูเฟอร์ ถ้าได้รับการปรับอย่างเหมาะสม หรือมีเบสส์ความถี่ต่ำในปริมาณที่น้อย จะมีผลทำให้ระบบการถอดแบบของเสียงให้เหมือนจริง ทำได้ยากมาก
ในระบบ PASSIVE RADIATOR ทั้งโคนของวูเฟอร์ จะเคลื่อนที่ในเฟสของกันและกันหรือเคลื่อนที่ในแนวนอน 180 องศา การรักษาให้โคนทั้งสองอยู่ในเฟสเดียวกันนั้น ก็เพื่อเป็นการเสริมกำลังให้กับเอาท์พุทของวูเฟอร์
ประโยชน์ที่จะได้รับจากระบบนั้นก็คือ เมื่อความถี่ที่ถูกถอดแบบใกล้เคียงกับความถี่กำธรของมัน การต่อช่วงความยาวของวูเฟอร์ก็จะลดลง ดังนั้นจึงควรเลี่ยงให้ห่างจากวูเฟอร์ เมื่ออยู่ในช่วงออคเทฟต่ำ นั่นแหละที่ทำไมจึงเห็น PASSIVE RADIATOR มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางใหญ่กว่าวูเฟอร์ของระบบ เพราะวูเฟอร์ไม่ได้ต้องการมีช่วงต่อขยายความถี่ต่ำ หากสามารถลดขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของวูเฟอร์ให้เล็กลงได้จะช่วยให้การตอบสนองของเบสส์ในช่วงบนและช่วงกลางดีขึ้น
เมื่อมีดีก็ต้องมีข้อเสียตามมา แม้ว่า PASSIVE RADIATOR สามารถถอดแบบเสียงได้เหมือนจริงถึงตำแหน่ง 180 องศาก็จริง แต่ก็ขึ้นอยู่กับความถี่ที่เกิดขึ้นด้วย หากเกิดขึ้น และมีการเปลี่ยนแปลงการตอบสนองความถี่อย่างรวดเร็ว มันก็เป็นการยากที่จะใช้การสังเกตต้องอาศัยความละเอียดอ่อนในการฟังเป็นอย่างมาก
นอกจากนี้ อากาศในตู้ลำโพงยังไม่เกิดต่อเนื่องนานเหมือนสปริง เพื่อควบคุมหรือรักษาการเคลื่อนไหวของ PASSIVE RADIATOR ให้คงอยู่เช่นนั้นตลอดไป โดยเฉพาะเมื่อวูเฟอร์มีค่ากำธรต่ำกว่าค่ากำธรของมัน วูเฟอร์ที่มีเพาเวอร์/ข้างสูงมากเกินไปนั้น อาจไปทำให้เกิดความเสียหายได้ทั้งวูเฟอร์ และตัวของมันเอง
PASSIVE RADIATOR นั้นท้าทายต่อการออกแบบเป็นอย่างมาก เนื่องจากใช้โคนที่สามารถปรับน้ำหนักได้ ซึ่งทำให้ง่ายต่อการปรับค่าของตู้ อย่างไรก็ตามการเลือกวูเฟอร์ที่ถูกต้องเหมาะสมนั้น ควรมีค่า QTS ต่ำ 0.2-0.4 และการออกแบบตู้ได้อย่างเหมาะสม
ก็ยังมีความจำเป็นอยู่
TRANSMISSION LINE
TRANSMISSION LINE หรือ TL คือช่วงความยาวที่ต่อมาจากด้านหลังของลำโพงซึ่งอยู่ตรงกันข้ามกับด้านหน้าของลำโพง ที่เป็น VENT หรือช่องเปิดไปยังด้านหน้าของตู้การสร้าง TL ได้เหมาะสม จะช่วยกำจัดการยกเลิกเฟสของลำโพงในทุกรูปแบบ และทำให้ระบบซับวูเฟอร์เกือบจะสมบูรณ์ ไม่ค่อยบ่อยที่จะได้เห็น TL ในเครื่องเสียงรถยนต์เนื่องจากขนาด และความสลับซับซ้อน
สรุปแล้ว PASSIVE RADIATOR ก็เปรียบเสมือนเงาของซับวูเฟอร์อีกทีหนึ่ง เพียงแต่เราสามารถนำเอาเงานั้นมาใช้งานได้ ถ้าเปรียบกับโครงสร้างของเกียร์อัตโนมัติในรถยนต์ ก็เปรียบได้กับด้านที่ต่อกับชุดเฟืองเกียร์ของชุดทอร์ค คอนเวอร์เตอร์ ที่ด้านเมนหลักต่อกับเครื่องยนต์ นั่นก็คือ ส่วนของซับวูเฟอร์ ส่วนอีกด้านฝั่งตรงข้ามที่ต่อกับชุดเฟืองเกียร์ คือ PASSIVE RADIATOR นั่นเอง หวังว่ามาถึงตรงท้ายนี้คุณคงจะมีความเข้าใจใน PASSIVE RADIATOR หรือ PR ได้ดีขึ้น
เรื่องโดย : วิโชค
นิตยสาร 409 ฉบับเดือน ธันวาคม ปี 2547
คอลัมน์ Online : เทคนิค(car)
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/54538