ประกันภัย
ประกันภัยรถยนต์กับคนรุ่นใหม่ (17)
หลังจากมีข่าวบริษัทประกันภัยมีปัญหาเกี่ยวกับความมั่นคงทางด้านการเงิน ถึงขั้นประชาชนได้รับความเดือดร้อน ในที่สุด กรมการประกันภัยก็ต้องเข้าไปควบคุมอย่างใกล้ชิด และมีคำสั่งขั้นเด็ดขาดให้บริษัทปฏิบัติ และบางบริษัทก็สั่งให้หยุดรับประกันทุกชนิด บางบริษัทก็สั่งให้หยุดรับประกันพรบ. บางบริษัทก็สั่งให้เพิ่มทุน ปัญหาของธุรกิจประกันภัยมีมาเป็นช่วงๆ และเมื่อใดก็ตามที่มีข่าวถี่ๆ มากหน่อย ก็จะถึงเวลาต้องมีการปรับเปลี่ยนระบบระเบียบต่างๆ เช่น อัตราเบี้ยประกันภัยแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการรับประกันภัย เป็นต้น ลักษณะมันเข้าตำราวัวหายล้อมคอกแทบทุกครั้งครั้งนี้ก็เช่นกัน เรื่องของการประกันภัยตาม พรบ. ซึ่งเป็นกฎหมายที่มีวัตถุประสงค์ที่ดี บังคับให้บริษัทต้องรับประกันภัย เพื่อคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ
แต่ในทางปฏิบัติกลับมีแต่ปัญหา เจ้าของรถกลับเป็นฝ่ายถูกบังคับให้ซื้อประกัน ผู้ขับขี่ถูกขูดรีดจากตำรวจ ผู้ประสบภัยถูกเอาเปรียบไม่ได้รับความเป็นธรรมในการจ่ายค่าสินไหมของบริษัทและบางรายก็ไม่ได้รับความคุ้มครอง มันไม่ต่างอะไรกับ "การรับกิน ไม่รับจ่าย หรือกินรวบ" มันเป็นผลประโยชน์ที่มีมูลค่ามหาศาล ทำให้ทุกฝ่ายต่างกระโจนเข้ามาแย่งชิ้นเนื้อปลามันทั้ง บริษัทประกันภัย ตัวแทน โรงพยาบาล ตำรวจ ขนส่ง และแม้กระทั่งมูลนิธิเก็บศพ จนมีคำพูดว่า "เป็นกฎหมายบังคับให้บริษัทประกันภัยรวย แต่ประชาชนโครตซวย"
กรมการประกันภัยในฐานะผู้กำกับ และดูแลกิจการประกันภัย รู้ถึงปัญหาดังกล่าวจากการร้องเรียนของประชาชนมาตลอดกว่า 15 ปี นับแต่กฎหมายมีผลใช้บังคับ และพยายามแก้ไขมาหลายครั้งหลายครา แต่ปัญหาก็ไม่ลดละ ประกันภัยตาม พรบ. ทำให้หลายคนเป็นเศรษฐีและก็ทำให้หลายบริษัทต้องถูก ปิด ลงโทษ และวันนี้ก็มีมาถึงการปรับเปลี่ยนครั้งใหญ่อีกหนที่กรมการประกันภัยได้เสนอเป็นกฎหมายให้ " ยกเลิกเครื่องหมายแสดงว่ามีการรับประกันความเสียหายสำหรับผู้ประสบภัยจากรถ " ตามที่พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถปี 2535 และได้แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ (ฉบับที่4) ปี 2550ซึ่งได้ลงประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 5 เมษายน 2550 และมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 6 เมษายน 2550 เป็นต้นไป โดยมีสาระสำคัญเกี่ยวกับเครื่องหมายแสดงว่ามีการรับประกันความเสียหายสำหรับผู้ประสบภัยจากรถ ดังนี้
1. ให้ยกเลิกเครื่องหมายที่แสดงว่ารถดังกล่าวได้จัดให้มีการประกันภัย ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถปี 2535 และยกเลิกภาระของนายทะเบียนในการจัดทำเครื่องหมายและส่งมอบให้กับบริษัท เพื่อส่งมอบเครื่องหมายให้เจ้าของรถ ที่จัดให้มีการประกันภัย ด้วยเหตุผลดังกล่าวส่งผลให้เจ้าของรถที่ได้จัดทำประกันภัยที่ความคุ้มครองเริ่มตั้งแต่ วันที่ 6 เมษายน 2550 เป็นต้นมา จะไม่ได้รับเครื่องหมายแสดงว่ามีการประกันภัยรถจากบริษัทประกันภัย
2. เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องตรงกัน กรมการประกันภัยได้ออกประกาศนายทะเบียน เรื่องแก้ไขเพิ่มเติมหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขเกี่ยวกับการเบิกจ่าย และส่งคืนเครื่องหมายแสดงว่ามีการประกันความเสียหายสำหรับผู้ประสบภัยจากรถ ลงวันที่ 10 เมษายน 2550 ให้บริษัทประกันภัยส่งคืนเครื่องหมายที่ยังมิได้มีการจำหน่ายให้แก่ประชาชนแล้ว
3. พระราชบัญญัติฉบับดังกล่าว บัญญัติให้กรมการขนส่งทางบกได้ทำหน้าที่ในการตรวจสอบรถทุกคันก่อนการจดทะเบียน หรือชำระภาษีประจำปี ว่าได้มีการจัดทำประกันภัยแล้วหรือไม่ ซึ่งหากไม่ได้มีการจัดทำประกันภัยแล้วกรมการขนส่งทางบกก็จะไม่ดำเนินการจดทะเบียน หรือชำระภาษีประจำปีให้แก่รถคันดังกล่าว ดังนั้น หากจะต้องนำรถไปจดทะเบียน หรือรถคันใดถึงกำหนดเวลาที่จะต้องชำระภาษีประจำปี เจ้าของรถควรจัดให้มีการทำประกันภัยก่อน และนำเอกสาร หลักฐานการจัดทำประกันภัยประกอบคำร้องขอการจดทะเบียน หรือชำระภาษีประจำปีนั้นด้วย โดยป้ายวงกลมที่ได้รับหลังจากการชำระภาษีประจำปีจะเป็นข้อสันนิฐานเบื้องต้นว่ารถคันนั้นได้มีการจัดทำประกันภัยแล้ว และเพื่อให้ความเชื่อใจเกิดแก่ประชาชนกรมการประกันภัยได้มีการประสานงานกับกรมการขนส่งทางบก และพร้อมที่จะนำระบบส่งข้อมูลการรับประกันภัยผ่านสื่ออีเลคทรอนิคส์มาใช้ในการตรวจสอบการจัดทำประกันภัย
นางจันทรา บูรณฤกษ์ อธิบดีกรมการประกันภัยได้แถลงถึง แนวทางปฏิบัติตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ (ฉบับที่4) ปี 2550 เนื่องจากในขณะนี้ ยังมีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนเกี่ยวกับการแก้ไขพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ (ฉบับที่ 4) ปี 2550 โดยเฉพาะเรื่องการยกเลิกเครื่องหมายแสดงว่ามีการประกันความเสียหายสำหรับผู้ประสบภัยจากรถ กรมการประกันภัย กรมการประกันภัยจึงได้เชิญผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กรมการขนส่งทางบก สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กองบังคับการตำรวจจราจร และสมาคมประกันวินาศภัย หารือเพื่อกำหนดวิธีการปฏิบัติให้เป็นไปในแนวทางเดียวกัน ซึ่งผลการประชุมสรุปได้ ดังนี้
1. สำหรับประชาชน เมื่อเอาประกันภัย ตาม พรบ. คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ ฯ กับบริษัทประกันภัย บริษัท ฯ ยังคงมีหน้าที่ออกหลักฐานแห่งสัญญาเรียกว่า "กรมธรรม์ประกันภัย" ให้แก่ผู้เอาประกันภัย และเพื่อใช้เป็นหลักฐานว่าได้มีการทำประกันภัยตาม พรบ. คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ ฯ ประชาชนผู้เอาประกันภัยก็ควรจะเก็บกรมธรรม์ประกันภัยนี้ไว้ในรถ หากมีการขอตรวจสอบจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ ก็สามารถแสดงได้
2. ในส่วนของกรมการขนส่งทางบก เมื่อกฎหมายฉบับดังกล่าวกำหนดให้มีหน้าที่ต้องตรวจสอบรถทุกคันที่มาขอจดทะเบียน หรือต่อทะเบียนจากกรมการขนส่งทางบกว่าได้จัดทำประกันภัยตาม พรบ. คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ ฯ แล้วหรือไม่ จึงมีหน้าที่ดำเนินการตรวจสอบการทำประกันภัย โดยดูจากเอกสารของบริษัทประกันภัย ซึ่งในปัจจุบันมี 3 รูปแบบ คือ
- รูปแบบเดิมที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน จัดพิมพ์โดยบริษัทประกันภัยแต่ละบริษัทเอง
- รูปแบบใหม่ที่ใช้กระดาษในการจัดพิมพ์ให้ยากต่อการปลอมแปลง และมีการจัดลำดับเลขที่กรมธรรม์ประกันภัย เพื่อให้สามารถตรวจสอบได้ และควบคุมการสั่งพิมพ์และจัดส่งโดยสมาคมประกันวินาศภัย
- รูปแบบใหม่ที่ออกโดยเครื่อง PVR MACHINE (POLICY VENDER REGISTER MACHINE) ซึ่งเป็นอุปกรณ์คล้ายคลึงกับเครื่องรูดบัตรเครดิททั้งนี้ โดยบทสันนิษฐานของกฎหมายฉบับดังกล่าว เมื่อรถมีแผ่นป้ายทะเบียนที่แสดงว่าได้จดทะเบียน หรือต่อทะเบียนจากกรมการขนส่งทางบกแล้ว ถือได้ว่ารถคันนั้นมีประกันภัยตามพรบ. คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ ฯ แล้ว
3. กรมการประกันภัย สร้างระบบการรับส่งข้อมูลการรับประกันภัยรถตาม พรบ. ฯ รูปแบบ REAL TIME คือ บริษัทประกันภัยต้องส่งข้อมูลการประกันภัยรถตาม พรบ. ฯ ทันทีหลังจากที่มีการรับประกันภัย เพื่อให้ระบบการนำส่งข้อมูลเข้าสู่ระบบอีเลคทรอนิคส์สำหรับประโยชน์ในการตรวจสอบข้อมูลการทำประกันภัยรถของกรมการขนส่งทางบก หรือหน่วยงานอื่นๆ โดยได้รับความร่วมมือจากกรมการขนส่งทางบกและสมาคมประกันวินาศภัยทั้งนี้ รูปแบบการตรวจสอบการทำประกันภัยรถตาม พรบ. ฯ ของกรมการขนส่งทางบกจะเป็นการตรวจสอบผ่านระบบอีเลคทรอนิคส์ที่เชื่อมโยงข้อมูล REAL TIME กับกรมการประกันภัย ซึ่งคาดว่าระบบจะพัฒนาแล้วเสร็จในอีก 90 วันเมื่อกฎหมายมีผลใช้บังคับ จึงไม่มีการใช้เครื่องหมายแสดงว่ามีการประกันความเสียหายสำหรับผู้ประสบภัยจากรถ (STICKER) เจ้าของรถจึงไม่ต้องนำเครื่องหมาย ฯ ไปติดแสดงที่หน้ารถ ความผิดเกี่ยวกับเครื่องหมาย ฯ จึงไม่มีต่อไปเช่นกัน
อธิบดีกรมการประกันภัย กล่าวเพิ่มเติมว่า กรมการประกันภัย ยังได้ร่วมกับโรงพยาบาล/สถานพยาบาล สมาคมประกันวินาศภัย และบริษัท กลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ จำกัด พัฒนาระบบการจ่ายค่าสินไหมทดแทนผ่านสื่ออีเลคทรอนิคส์ (E-CLAIM SYSTEM) เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนผู้ประสบภัยจากรถให้ได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่ และได้มีการลงนามบันทึกความเข้าใจ เรื่อง การใช้ระบบการจ่ายค่าสินไหมทดแทนผ่านสื่ออีเลคทรอนิคส์ ร่วมกับโรงพยาบาล จำนวน 1,353 แห่ง สมาคมประกันวินาศภัย และบริษัท กลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ จำกัด ไปแล้วเมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2550 นอกจากนี้ เพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชนกรมการประกันภัย ได้นำกองทุนทดแทนผู้ประสบภัยเข้าสู่ระบบ E-CLAIM ด้วย โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการในรายละเอียด และโรงพยาบาล/สถานพยาบาลส่วนใหญ่ได้เริ่มดำเนินการใช้ระบบดังกล่าวแล้ว
ดังนั้น กรมการประกันภัยจึงใคร่ขอเตือนประชาชนให้โปรดระมัดระวัง และหากพบข้อเท็จจริงดังกล่าว ทั้งอย่าได้หลงเชื่อผู้ที่มีพฤติกรรมส่อไปในทางที่ไม่สุจริต หรือกรมธรรม์ประกันภัยที่มีการส่งมอบพร้อมเครื่องหมาย หากความคุ้มครองเริ่มตั้งแต่วันที่ 6 เมษายน 2550 ถ้าหากพบเห็นการกระทำผิดดังกล่าว หรือมีข้อสงสัยใดๆ ให้สอบถามได้ที่ ศูนย์รับเรื่องร้องเรียนกรมการประกันภัย หรือโทรแจ้งสายด่วน 1186
เรื่องโดย : กฤชกมล นิติธรรมโกศล
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน มิถุนายน ปี 2550
คอลัมน์ Online : ประกันภัย
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/53217