มุมมองนักออกแบบ
สตูดิโอออกแบบรถยนต์ ยุคดิจิทอล
รถยนต์แต่ละรุ่น กว่าจะออกสู่ตลาดมาให้พวกเราซื้อใช้กันนั้น ต้องผ่านขั้นตอนมากมายที่ถือว่าสำคัญที่สุด ก็คือ "การออกแบบ" เพราะถ้าไม่มีขั้นตอนนี้ ก็คงไม่รู้ว่ารถของเราจะมีหน้าตาอย่างไร ?
ในยุคก่อน บริษัทรถยนต์ทุกๆ บริษัทต่างมีทีมออกแบบของตนเอง ซึ่งถือว่าเป็นหัวใจสำคัญของบริษัทก็ว่าได้ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในห้องออกแบบ จึงถือว่าเป็นความลับสุดยอดของบริษัท คนภายนอกนั้นเรียกได้ว่าหมดสิทธิ์ที่จะได้รู้ได้เห็นความเป็นมาเป็นไปของขั้นตอนการออกแบบรถยนต์ว่าเขาทำอย่างไรกันบ้าง เพราะแต่ละบริษัทต่างเก็บงำการคิดค้น วิจัย และพัฒนาด้านการออกแบบของตนเองมาโดยตลอด ความรู้เหล่านี้จึงถูกปิดเป็นความลับอยู่แต่ภายในบริษัทรถยนต์เท่านั้นจนกระทั่งเริ่มมีโรงเรียนสอนออกแบบรถยนต์เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ ด้วยบุคลากรที่เคยทำงานในบริษัทรถยนต์ ได้นำความรู้ด้านการออกแบบรถยนต์แบบมืออาชีพมาเผยแพร่ เพื่อสร้างนักออกแบบรถยนต์รุ่นใหม่ๆ ป้อนตลาดที่มีความต้องการบุคลากรด้านนี้มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง
สำหรับขั้นตอนการออกแบบรถยนต์นั้น จะต้องเริ่มจากโจทย์ก่อนว่าจะออกแบบรถอะไร ใครคือกลุ่มเป้าหมาย จากนั้นนักออกแบบก็เริ่มร่างภาพบนกระดาษ โดยใช้จินตนาการและประสบการณ์บวกกับรสนิยมส่วนตัวของแต่ละคน วาดภาพ และลงสี หรือที่เรียกว่า เรนเดอริง (RENDERING) ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้เทคนิคเดียวกัน คือ ใช้สีเมจิคมาร์เคอร์กับสีชอล์คเป็นหลัก เพราะจะสะดวกและรวดเร็ว
แต่ในปัจจุบันขั้นตอนการวาดภาพนั้นได้เปลี่ยนแปลงและพัฒนาไปเป็นระบบดิจิทอลสมบูรณ์แบบแล้ว นั่นก็คือ การวาดภาพลงบนจอคอมพิวเตอร์แทนกระดาษได้เลย ปากกาที่ใช้วาดก็จะให้ความรู้สึกเหมือนกับวาดลงบนกระดาษจริง ซึ่งสามารถปรับเปลี่ยนเป็นเครื่องมือที่เราต้องการใช้ได้อย่างสะดวกรวดเร็ว และที่สำคัญปลอดภัย
เพราะถ้าเป็นวิธีการวาดแบบเดิมๆ นักออกแบบจะต้องสูดดมกลิ่นของปากกาเมจิคมาร์เคอร์ ที่มีกลิ่นรุนแรง และบางยี่ห้อก็มีพิษต่อร่างกาย ถ้าสูดดมเข้าไปมากๆ รวมไปถึงปากกาพ่นสี หรือแอร์บรัช ซึ่งอุปกรณ์ชนิดนี้ถือว่าเป็นอันตรายต่อปอดโดยตรง ถ้าไม่ได้ป้องกันอย่างเพียงพอละอองสีเล็กๆ จะเข้าสู่ร่างกายได้อย่างง่ายดายเหมือนกับเข้าไปอยู่ในห้องพ่นสีตามอู่รถยนต์ไม่มีผิดสีชอล์คก็เช่นเดียวกัน เพราะต้องขูดสีชอล์คที่เป็นแท่งให้เป็นผงก่อน จึงจะนำมาถูด้วยสำลีลงบนภาพอีกที ซึ่งก็มีโอกาสสูดดมผงของสีชอล์คเข้าสู่ปอดเราได้เช่นเดียวกัน ดังนั้นจึงต้องขอขอบคุณผู้คิดค้นเจ้าจอรุ่นใหม่สารพัดประโยชน์ที่ทำให้นักออกแบบอย่างเรามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นห่างไกลจากโรคที่เกี่ยวกับทางเดินหายใจอย่างเด็ดขาด
คุณสมบัติพิเศษของเจ้าจอรุ่นใหม่นี้ ก็คือ นักออกแบบสามารถวาดภาพและลงสีได้เร็วขึ้น ถ้าวาดผิดก็สามารถกลับไปแก้ไขได้ทันที ซึ่งต่างจากการวาดจริงๆ บนกระดาษที่ผิดแล้วผิดเลย ซึ่งในกรณีที่เราวาดไปได้เกือบ 80 % แล้วเกิดลงสีพลาดขึ้นมา ถ้าเป็นแบบดั้งเดิมเราอาจต้องยอมทิ้งภาพนั้นไปเลย แต่สำหรับการวาดด้วยระบบดิจิทอลนั้น สามารถแก้ไขได้ทันทีเมื่อใดก็ได้ และจะย้อนไปแก้ไขที่จุดไหนก็ได้เสมอตามที่ใจเราต้องการ
จากขั้นตอนการวาด ก็สู่ขั้นตอนการปั้นโมเดลตั้งแต่ขนาดย่อส่วน 1:4, 1:5 แล้วแต่ตามความเหมาะสมส่วนใหญ่จะปั้นด้วยดินพิเศษที่มีความละเอียดมาก เมื่อจะใช้งานก็นำเอาไปเข้าเตาอบให้ร้อน ดินจะอ่อนตัว และสามารถนำไปปั้นได้ทันที และเมื่อเย็นตัวก็จะแข็งอยู่ตัวตามรูปทรงที่เราปั้น
เครื่องมือที่ใช้ปั้นจะเป็นเครื่องมือพิเศษที่ทำมาสำหรับปั้นโมเดลรถยนต์โดยเฉพาะ เมื่อปั้นโมเดลดินขนาดย่อส่วนเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็นำเอาไป SCAN วัดค่าสัดส่วนเพื่อบันทึกลงในคอมพิวเตอร์เพื่อจะนำค่านั้นไปขยายเท่าตัวจริงเพื่อทำ โพรโทไทพ์ (PROTOTYPE) ต่อไป
ปัจจุบันมีทางเลือกให้นักออกแบบ สำหรับขั้นตอนการปั้นนี้เช่นเดียวกัน โดยที่มือของนักออกแบบจะไม่ต้องเลอะดิน หรือฝุ่น ด้วยการใช้คอมพิวเตอร์เครื่องเดิมนั่นแหละ แต่ต้องใช้ ซอฟท์แวร์ด้านนี้โดยเฉพาะ เริ่มจากการสเกทช์ภาพ 2 มิติ สามารถทำให้เป็น 3 มิติได้เลย กำหนดวัสดุแต่ละชิ้นส่วนของตัวรถให้เหมือนจริงได้ เช่น กระจก เหล็ก อลูมิเนียม ลายไม้ ซึ่งนักออกแบบสามารถเห็นภาพที่ใกล้เคียงความจริงมากที่สุด โดยที่ยังไม่ได้ผลิตรถนั้นออกมาเลย
ซึ่งถือว่าเป็นการประหยัดค่าใช้จ่าย และเวลาไปจากวิธีการเดิมๆ ได้นับล้านบาทเลยทีเดียว เพราะวิธีเดิมนั้นจะต้องทำแบบจำลองเท่าตัวจริงให้ผู้บริหารตัดสินใจหลายคัน ซึ่งต้องใช้งบประมาณและเวลามหาศาล นับว่าเจ้าระบบการออกแบบโดยใช้เครื่องมือของยุคดิจิทอลนี้ ทำให้ชีวิตของนักออกแบบรถยนต์ดีขึ้น แต่ก็มีอีกหลายคนที่ไม่ชอบ เพราะมันไม่ได้สัมผัสกับพื้นผิวจริงๆ ไม่ได้มองให้เห็นกับตาจริงๆ เพราะจะต้องดูจากจอคอมพิวเตอร์ ซึ่งผมก็เห็นด้วยในประเด็นนี้
ทางที่ดีที่สุดนักออกแบบรถยนต์ควรจะต้องมีทักษะพื้นฐาน ทั้งทางด้านการวาด และการปั้นของจริงให้แน่นก่อน ส่วนเครื่องมือดิจิทอลนั้นจะมาช่วยเสริมทำให้เราคิดแบบได้มากขึ้นเพราะทำได้เร็วขึ้น แต่ก็ใช่ว่าเครื่องมือดิจิทอลนี้จะฝึกกันได้ง่ายๆ นะครับ อย่างน้อยก็ 3 ปีกว่าจะทำงานได้อย่างชำนาญแบบมืออาชีพ
ดังนั้น สมองคิด มือวาดลงบนกระดาษจริงนั้นจำเป็นมากที่สุดแล้วล่ะ เพราะถ้าวันใดฝนตกหนักไฟฟ้าดับขึ้นมา เจ้าเครื่องมือยุคดิจิทอลสุดไฮเทคราคาแพง ก็กลายเป็นแค่เศษเหล็กกองหนึ่งเท่านั้น จริงไหมครับ ?
ขอขอบคุณ บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด ที่เอื้อเฟื้อภาพประกอบ
เรื่องโดย : แมน ดีไซจ์น
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน มิถุนายน ปี 2550
คอลัมน์ Online : มุมมองนักออกแบบ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/53214