ร่มไม้ชายศาล
เชือดขายเสียง
งวดนี้ขออนุญาต บก. ใช้เนื้อที่ตรงนี้นอกเหนือจากการขายรถ ว่าด้วยเรื่องรถอย่างเคย หันมารับใช้ประเทศชาติที่เดี้ยงมาตลอด เพราะการซื้อขายเสียงของนักการเมือง หวังว่า บก. หรือโต้โผ ขวัญชัย คงโอเค
ครับสิ่งหนึ่งที่ทำท่าจะเกาะกุมประเทศไทยต่อไปอีกยาวนาน หากไม่มีมาตรการป้องปรามที่เด็ดขาดตัดตอน คือ การ "ซื้อขายเสียง" สำหรับการเลือกตั้งทุกระดับ ไล่มาตั้งแต่การเลือก ผู้ใหญ่บ้าน กำนัน จนถึง สส. และ สว.
พวกเราอย่าได้อ้าง "ประชาธิปไตย" ชนิดไม่ขาดปาก แต่อนุรักษ์การซื้อขายเสียงอันเป็นการทำลายล้างประชาธิปไตยให้ย่อยยับ ตั้งแต่ยกแรกที่โดดเข้าสู่แวดวงการเมืองอีกต่อไป
แม้บ้านเมืองเราจะมีกฎหมาย มีมาตรการป้องปรามการซื้อขายเสียงอยู่พอสมควร แต่อยู่ในข่ายล้มเหลวชาวบ้านเห็นการซื้อขายเสียงเป็นเรื่องปกติธรรมดา ไม่ได้เห็นโทษภัยใดๆ ทั้งสิ้น
ทั้งๆ ที่การซื้อขายเสียงส่งผลร้ายต่อประเทศชาติตลอดมา การบริหารบ้านเมืองไม่ราบรื่น ตลอดจนมีการปฏิวัติรัฐประหารเกิดขึ้นเสมอ ผู้ที่เรียกว่า "นักการเมือง" ส่วนใหญ่มีความเชื่อมั่นว่า ตนเองซื้อเสียงได้เสมอ กลับมามีอำนาจได้ จึงมีอาการเขื่องโข และพากันต้มยำทำแกงแผ่นดินตามอำเภอใจ ดังที่ปรากฏ
การซื้อขายเสียงเป็นการทำลายรากเหง้าของประชาธิปไตยในบ้านนี้เมืองนี้ เราไม่ได้ตัวแทนประชาชนของท้องถิ่น เข้าไปดูแลบริหารประเทศชาติอย่างแท้จริง ดันไปได้บุคคลที่มีการจัดตั้งไว้ล่วงหน้า โดยการซื้อขายเสียง แล้วเข้าไปยึดกุมประเทศหน้าตาเฉย ผลเสียอันรุนแรง และรู้กันอยู่ทั่วไป คือ "กระบวนการถอนทุน" ซึ่งเกิดขึ้นในหมู่นักเลือกตั้งทุกระดับ สืบเนื่องจากการเข้าไปเป็นนักการเมืองด้วยวิธีการทุจริตซื้อคะแนน หรือที่เรียกว่า "ธุรกิจการเมือง" แนวทางของการ "ขันอาสา" เข้าไปเป็น "ตัวแทนอย่างแท้จริง" ชุมชนของท้องถิ่นจึงหมดไป หรือไม่มีอยู่เลย
จากการที่ผมหยิบยกเอาโทษภัยแค่คร่าวๆ ของการซื้อขายเสียงมาสำแดง จึงจำเป็นต้องมีการป้องปรามด้วยกฎหมายมาโดยตลอด ถามว่า บังเกิดผลสำเร็จเท่าที่ควรหรือไม่ ?
แน่นอน ใครๆ ก็ตอบได้ โดยไม่ต้องเป็นผู้รู้ นักวิชาการ หรือขาประจำว่า มัน "ไม่สำเร็จ" พูดภาษาชาวบ้านยังซื้อขายเสียงกันตรึม มีการเลือกตั้งในประเทศไทยเมื่อไหร่ มันซื้อขายเสียงกันเมื่อนั้น นั่นคือ ความจริงที่ต้องยอมรับ และน่าเศร้าเสียใจ และพวกเราก็งอมืองอเท้าจำนนต่อความเลวร้ายที่เกิดขึ้น
ณ โอกาสที่จะมีการปฏิรูประบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข จะมีการร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมาใหม่ แทนฉบับ 2540 ที่ถูกโละทิ้งโดย คปค. เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ที่ผ่านมาหมาดๆ อยากเสนอแนวทางสักอย่างหนึ่ง เพื่อกำราบการซื้อขายเสียง และขอเน้น ถือว่าเป็นแบบฉบับไทยๆ อย่าไปอ้างคำว่า สากล แล้วล้มเหลวไม่เป็นท่าในแทบทุกเรื่อง
คือ อย่างนี้ครับ การซื้อขายเสียง มีต้นตอมาจากการมุ่งหวัง "เงินทองทรัพย์สิน" เป็นที่ตั้ง ชาวบ้านแบมือรับ แล้วยอมขายสิทธิอันสำคัญที่สุดในชีวิต สำคัญต่อความอยู่รอดของชาติบ้านเมือง ด้วยความมักได้บวกความมักง่าย
ขณะที่ฝ่ายการเมืองจ้องเอาผลประโยชน์ทางทรัพย์สินเงินทองบวกอำนาจเป็นที่ตั้ง จึงต้องใช้มาตรการ "หนามยอกต้องเอาหนามบ่ง"
ต้องเน้นการ "ลงโทษทางเศรษฐกิจ" อย่างถึงกึ๋น ใครก็ตามที่ซื้อเสียง ขายเสียง ต้องใช้ลงโทษปรับชนิดลิบลิ่ว เทียบไม่ได้กับจำนวนเงินที่ซื้อขายเสียง เช่น ปรับผู้ขายเสียงเป็นไม่ต่ำว่ารายละ 2 แสนบาท (เผื่อรับสารภาพลดกึ่ง ก็ยังโดนเล่นงานเป็นเงินแสน ) ใครโดนเข้าจะได้ร้อง
"โห...ขายเสียงได้เงินมาร้อยเดียว โดนปรับตั้งแสนบาท โห...ยังงี้ก็จนไปทั้งชาติ โห...พวกเอ็งอย่าทะลึ่งขายเสียงอย่างข้าเด็ดขาด บอกลูกบอกหลานให้จำไว้เชียว โอย...ตูเป็นลมดีกว่า"
ส่วนผู้ที่ทุจริตด้วยการซื้อเสียง หรือให้อามิสต้องปรับเป็นหลักล้าน เริ่มที่กระทงละ 20 ล้านบาท (เผื่อรับสารภาพลดกึ่งเช่นกัน) และจะมาอ้างว่าไม่มีเงินจ่ายก็ไม่ได้ ต้องมีมาตรการบังคับคดี ให้ผ่อนชำระพร้อมดอกเบี้ยจนชั่วชีวิต มาตรการลงโทษตัดสิทธิทางการเมืองต้องมีอยู่ด้วย เรียกว่าโดน 2 เด้งเอาให้หลาบจำไปจนตายด้วยการ "ตัดสิทธิตลอดชีวิต" ไม่ให้ผุดไม่ให้เกิด ไม่ให้แถเข้ามายุ่งเกี่ยวทางการเมืองอีกต่อไป ไม่ว่าจะเป็นผู้เลือก หรือถูกเลือก เป็นการแจกใบแดงแบบเด็ดขาดตัดตอนไปเลยทั้งชาติ รอไปเกิดใหม่เป็นคนไทยอีกที ถึงค่อยมาว่ากัน
เชื่อเถอะครับ ไอ้ที่จะไปตั้งหน้าอ้อนวอนสั่งสอนชี้แนะ ไม่ให้ซื้อสิทธิ์ขายเสียงตามที่พูดกันเรื่อยมา ไม่มีทางสำเร็จดังที่เห็นกันอยู่ แถมยังหนักข้อรุนแรงมากขึ้น ทุจริตกันมากขึ้น จึงต้องลงโทษชนิดกระเทือนซางอย่างที่ผมเสนอ
สมมติในวันข้างหน้า พวกนักเลือกตั้งนักธุรกิจการเมืองกล้าซื้อเสียงหัวละแสน 2 แสนบาทให้คุ้มกับค่าปรับ ให้คนกล้าขายเสียง ก็ต้องขยับบทลงโทษขึ้นไปอีก 5 เท่า 10 เท่า ดูทีหรือว่าจะสำเร็จไหมสำหรับประเทศไทย
สรุปงานนี้ต้องถึงพริกถึงขิงข่าตะไคร้ ในเมื่อการซื้อขายเสียงเปรียบเสมือนโรคร้ายที่เกาะกินประเทศไทยมายาวนาน รักษาแบบพื้นๆ หรือยึดหลักสากลอย่างที่ชอบพูดกันมันไม่มีทางหายก็ต้องชำแหละ ต้องผ่าตัด ต้องเล่นแรง ใช้แพทย์แผนไทยขนานแท้ จึงจะเหมาะสำหรับบ้านเราเชื่อผมก็แล้วกัน
ท่านที่รับผิดชอบในการร่างกฎหมาย หรือท่าน กกต. ทั้งหลาย ได้โปรดนำไปพิจารณาด้วยนะครับ อย่าเพิ่งมองข้ามมุกเด็ดที่ผมเสนอ บ้านเมืองจะได้เข้าร่องเข้ารอยเสียที ไม่เข้าป่าตลอดกาลจนกู่ไม่กลับอย่างที่ผ่านมา
อย่าลืมว่า ถ้าไม่ขวนขวายหาทางแก้ เดี๋ยวนี้นักธุรกิจการเมืองเขารู้ช่องทางแล้วว่า ซื้อประเทศไทยทั้งประเทศอย่างง่ายดายด้วยการซื้อเสียง ถูกกว่าการซื้อกิจการบริษัท หรือซื้อทีมฟุตบอลล์อย่างในเมืองนอกซะอีก ที่ผ่านมา พิสูจน์ให้เห็นตำตา ถ้านักการเมืองของเราทะลึ่งเป็นนอมีนีพวกต่างชาติ ที่อยากเข้ามาครอบงำประเทศไทย ยิ่งอันตรายเป็นทวีคูณ
พวกเราจะงอมืองอทีน ไม่หาทางแก้ไขป้องกันอะไรเลย ได้แต่นั่งพูดนั่งบ่นไปวันๆ มันไม่เวิร์คแน่นอน และยังประมาทขนาดหนักอีกด้วยนะครับ
เรื่องโดย : "จอมยุทธ"
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน ธันวาคม ปี 2549
คอลัมน์ Online : ร่มไม้ชายศาล
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/53030